4 เรื่องจริงน่าทึ่งของ "ธรรมาภิบาล"

 


4 เรื่องจริงน่าทึ่งของ "ธรรมาภิบาล" ที่คุณอาจไม่เคยรู้จากที่ไหนมาก่อน

คำว่า "ธรรมาภิบาล" (Good Governance) อาจฟังดูเป็นคำใหญ่ เป็นศัพท์เชิงวิชาการที่ดูเหมือนจะลอยอยู่ไกลตัวเรา และเกี่ยวข้องกับแค่นักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูงเท่านั้น หลายคนอาจรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและยากจะเข้าใจแต่เบื้องหลังคำศัพท์ที่ดูเป็นทางการนี้ กลับมีเรื่องราวเบื้องลึกที่น่าประหลาดใจ เต็มไปด้วยแง่มุมที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรม รากเหง้า และชีวิตประจำวันของเราอย่างคาดไม่ถึง มันไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมายหรือโครงสร้างการบริหารประเทศ แต่เป็นเรื่องที่เริ่มต้นจากจุดที่เล็กที่สุด นั่นคือ "หัวใจ" ของคนแต่ละคน

บทความนี้ผมจะพาท่านออกเดินทางไปค้นพบ 4 ประเด็นน่าทึ่งที่สรุปจากการสนทนากับ
พลเอก ดร. กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ เลขาธิการเครือข่ายธรรมาภิบาลแห่งชาติ เพื่อเปิดมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับธรรมาภิบาล ที่จะทำให้คุณเห็นว่าเรื่องนี้ใกล้ตัวและสำคัญกว่าที่เคยคิด

1. "ประชาธิปไตย" และ "วินัย" ไม่ใช่ของนำเข้า แต่มีอยู่ในวัฒนธรรมไทยมาแต่โบราณ

 

หลายครั้งที่เรามักได้ยินการเปรียบเทียบสังคมไทยกับชาติตะวันตกในเรื่องประชาธิปไตย หรือกับญี่ปุ่นในเรื่องระเบียบวินัย จนเกิดความคิดฝังใจว่าสิ่งเหล่านี้คือแนวคิดที่ต้อง "นำเข้า" มาปรับใช้ แต่ พล.อ. ดร. กิตติศักดิ์ ชวนให้เราพลิกมุมมองและขุดค้นสมบัติทางวัฒนธรรมที่ถูกมองข้ามไป ท่านชี้ว่าเรามักจะ "บ้าฝรั่ง" จนลืมไปว่าหลักการสำคัญเหล่านี้ซ่อนอยู่ในรากเหง้าของเรามาเนิ่นนาน

ด้านประชาธิปไตย: ลองนึกถึงประเพณีการ "ชักผ้าป่ากฐิน" ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา เมื่อมีผ้ากฐินเกิดขึ้นท่ามกลางหมู่สงฆ์ คณะสงฆ์จะพิจารณาร่วมกันและลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าพระภิกษุรูปใดเหมาะสมที่จะได้รับผ้าผืนนั้น นี่คือกระบวนการประชาธิปไตยทางตรงที่บริสุทธิ์และงดงามซึ่งแฝงอยู่ในประเพณีของเรา

ด้านระเบียบวินัย: เราชื่นชมการเข้าคิวของคนญี่ปุ่น แต่กลับมองข้ามแบบอย่างที่ใกล้ตัวที่สุด นั่นคือ วินัยสงฆ์ ภาพของการเข้าแถวบิณฑบาตอย่างเป็นระเบียบ หรือการนั่งตามลำดับอาวุโส (พรรษา) ล้วนเป็นภาพสะท้อนของวินัยที่เคร่งครัดซึ่งมีอยู่ในสังคมไทยมาตลอด

"เราเนี่ย มีวินัยก่อนเขาอีกครับ แต่เราไม่ดู ไม่ดูตัวอย่างของ เราเอง คืออะไรไหมครับ เรื่องวินัย เรื่องเข้าคิว พระแซงคิวไหมครับ พระบิณฑบาตแซงคิวไหมครับ พระนั่งตามพรรษาไหมครับ เห็นไหมฮะ"
บทเรียนที่ซ่อนอยู่ในประเพณีอันเรียบง่ายนี้คือ การหันกลับมามองเห็นและภาคภูมิใจในภูมิปัญญาดั้งเดิม อาจเป็นกุญแจสำคัญดอกแรกในการสร้างสังคมที่มีธรรมาภิบาลอย่างยั่งยืน โดยไม่ต้องรอรับแนวคิดจากที่อื่น

2. เบื้องหลังการคอร์รัปชันที่น่าตกใจ เมื่อ "ค่าคอมมิชชัน" พุ่งสูงถึง 50-70%

 

ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันเป็นสิ่งที่ทุกคนรับรู้ แต่เบื้องลึกของปัญหานั้นรุนแรงกว่าที่หลายคนคาดคิด พล.อ. ดร. กิตติศักดิ์ ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า ปัญหาการเรียกรับเงินใต้โต๊ะในโครงการภาครัฐนั้นทวีความรุนแรงถึงขั้นมีการเรียกรับสูงถึง 50% หรือแม้กระทั่ง 70% ของมูลค่าโครงการ ซึ่งสูงกว่า "ค่าคอมมิชชัน" ที่ภาคธุรกิจเคยจ่ายกันในอดีตที่ราว 10-20% อย่างมหาศาลสิ่งที่มุมมองนี้เผยให้เห็นคือความจริงที่ซับซ้อนและน่าอึดอัดใจเบื้องหลังการก่อตั้งองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันขนาดใหญ่บางแห่ง ไม่ได้เกิดขึ้นจากอุดมการณ์อันบริสุทธิ์เพียงอย่างเดียว

แต่มีแรงผลักดันสำคัญมาจากการที่ภาคธุรกิจ "ทนไม่ไหว" กับการถูกรีดไถในอัตราที่สูงเกินจะรับได้ การตั้งองค์กรขึ้นมาจึงเปรียบเสมือนการสร้าง
"เครื่องมือต่อรอง" เพื่อเจรจาให้การจ่ายเงินใต้โต๊ะกลับมาอยู่ในระดับที่ "สมเหตุสมผล" มากกว่าที่จะขจัดให้หมดไป"ที่นี้ปรากฏว่า ภาครัฐที่โกงเนี่ย มันไม่เอา 20-30% แล้วครับ มันเอา 50% เลย โอ้โห มันเรียกทีนึง 70% เลย... ไอ้ นี่ ก็เลยตั้ง ไอ้ตัวนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องต่อรอง"

นี่คือภาพสะท้อนของวงจรการทุจริตที่ฝังรากลึกและบิดเบี้ยว จนแม้กระทั่งการลุกขึ้นต่อสู้ก็ยังมีแรงจูงใจที่ซับซ้อน มันแสดงให้เห็นถึงวิกฤตการณ์ทางธรรมาภิบาลที่กัดกินสังคมลึกกว่าที่หลายคนเคยจินตนาการไว้

3. ปัญหาไม่ใช่ขาดหน่วยงานปราบโกง แต่คือการมี "มากเกินไป" จนสับสน

 

เมื่อพูดถึงการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน คนส่วนใหญ่มักนึกถึงการตั้งหน่วยงานขึ้นมาปราบปราม แต่จากการสะท้อนมุมมองของ คุณหมอสมส่วน บูรณพงษ์ ซึ่งทำงานใกล้ชิดกับภาคประชาสังคม กลับพบความจริงที่น่าประหลาดใจว่า ประเทศไทยมี "หน่วยงานปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่นมากเกินไป"
การมีองค์กรจำนวนมาก เช่น ป.ป.ช., ป.ป.ท. และองค์กรภาคประชาสังคมต่างๆ แต่กลับทำงานแบบ "ต่างคนต่างทำ"

และขาดการบูรณาการอย่างแท้จริง ได้สร้างปัญหาใหม่ขึ้นมา นั่นคือความสับสนและไร้ประสิทธิภาพ ประชาชนที่เดือดร้อนไม่รู้ว่าจะต้องไปพึ่งพาหน่วยงานใดเป็นหลัก ทำให้กระบวนการตรวจสอบล่าช้าและไม่เป็นเอกภาพ เปรียบเสมือนการขาดระบบ
"one stop service" ที่จะจัดการปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จ

"หน่วยงานปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันมันไม่ใช่ one stop service คือเป็นจุดเดียวแล้วก็... คุณจะมีหลายองค์กรก็ไม่ได้ว่านะ แต่ว่ามันต้องบูรณาการ หันมานั่งคุยกัน จับไม้จับมือกัน"
ประเด็นนี้ชี้ให้เห็นว่า การแก้ปัญหาคอร์รัปชันอาจไม่ใช่แค่การเพิ่มกฎหมายหรือตั้งหน่วยงานใหม่ แต่หัวใจสำคัญคือการ "บูรณาการ" การทำงานของหน่วยงานที่มีอยู่ให้มีทิศทางเดียวกัน สร้างกลไกที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การต่อสู้กับการทุจริตเป็นไปอย่างมีพลังและเป็นระบบอย่างแท้จริง

4. ทางออกของปัญหา อาจเรียบง่ายแค่การเริ่มต้นที่ "คุณธรรม 4 ประการ" ในตัวเรา

 

ท่ามกลางปัญหาเชิงโครงสร้างมหภาคที่ดูใหญ่และซับซ้อน พล.อ. ดร. กิตติศักดิ์ กลับชี้ไปยังทางออกที่เล็กที่สุดแต่ทรงพลังที่สุด นั่นคือการกลับมาเริ่มต้นที่ "ตัวเราเอง" โดยยึดหลัก "คุณธรรม 4 ประการ" ตามพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติที่ทุกคนสามารถเข้าใจและนำไปใช้ได้ทันที

คุณธรรม 4 ประการ ประกอบด้วย
1. สัจจะ: ความจริงใจต่อตนเองและผู้อื่น
2. ธรรมะ: การรู้จักข่มใจตนเองไม่ให้ทำผิด
3. ขันติ: ความอดทนต่อความยากลำบาก ไม่ท้อถอย
4. จาคะ: การรู้จักเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อส่วนรวม

หลักการนี้ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดลอยๆ แต่เคยถูกรณรงค์อย่างเป็นรูปธรรมผ่าน "เพลงคุณธรรม 4 ประการ" ที่แต่งขึ้นในปี 2525 เพื่อปลูกฝังคุณค่าเหล่านี้ให้หยั่งรากลึกในสังคม พล.อ. ดร. กิตติศักดิ์ ยืนยันว่าหลักการเหล่านี้คือเคล็ดลับความสำเร็จในชีวิตราชการของท่าน

เป็นเครื่องมือในการบริหารตน บริหารคน และบริหารงาน ท่านย้ำว่าความพยายามใดๆ ในการแก้ไขเชิงโครงสร้างนั้น ล้วนแต่จะล่มสลายหากปราศจากรากฐานที่มั่นคงซึ่งก็คือความซื่อสัตย์สุจริตของแต่ละบุคคล
 
 


บทสรุป

จากการเดินทางสำรวจทั้ง 4 ประเด็น เราจะเห็นได้ว่า "ธรรมาภิบาล" ไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมาย โครงสร้าง หรือตัวชี้วัดที่ซับซ้อน แต่เป็นเรื่องที่หยั่งรากลึกอยู่ในวัฒนธรรม ความเข้าใจในรากเหง้าของตนเอง การบูรณาการความร่วมมือ

และที่สำคัญที่สุดคือการเริ่มต้นบ่มเพาะคุณธรรมจากภายในใจของแต่ละคนบทสนทนากับ พล.อ. ดร. กิตติศักดิ์ ทิ้งบทสรุปที่คมคายแต่เปี่ยมด้วยความหวังไว้ให้เรา: พลังในการฟื้นฟูสังคมไม่ได้อยู่เพียงในมือของคณะกรรมการหรือองค์กรใดๆ แต่อยู่ในการตัดสินใจที่เงียบงันแต่หนักแน่นของเราในทุกๆ วัน
 
 
"เมื่อศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ... แล้ววันนี้ เราได้เริ่มต้นสร้าง 'พลังธรรมาภิบาล' จากจุดเล็กๆ ในตัวเรา เพื่อเป็นสะพานเชื่อมศีลธรรมสู่การปฏิบัติจริงแล้วหรือยัง?"

 

เรียบเรียง/บทความโดย ครูพี่ลี ดลรวี ภัทรกุลพิมล
โปรดิวเซอร์ รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน

คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน รายการที่จะนำคุณไปสัมผัสกับ อัตลักษณ์ท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย เศรษฐกิจพอเพียง และแนวคิดดีๆ จากบุคคลต้นแบบ ปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อเป็นพลังสรรค์สร้าง คุณภาพชีวิตทีดี อย่างยั่งยืน

  • ออกอากาศทาง สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย วิทยุเพื่อการเรียนรู้และเตือนภัย ภาคกลาง AM 1467 KHz ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ
  • ออกอากาศทางช่องทาง Live Streaming ผ่าน Facebook Live "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ
  • สามารถมารับชมย้อนหลังผ่านทาง Youtube ช่อง "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ได้อีกช่องทางหนึ่ง...

เพจ & Youtube : รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน

เกี่ยวกับเรา : รายการ "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" เราคือใคร?

ป.ล. หากบทความนี้มีประโยชน์ ฝากช่วยกันแชร์ บทความนี้ส่งต่อๆ ออกไปสู่กลุ่มผู้คนวงกว้างให้ได้รับคุณประโยชน์... แบ่งปันความรู้ดีๆ กันนะครับ หนึ่งความรู้ หนึ่งความคิดดีๆ อาจจะเปลี่ยน ช่วยเหลือ ผู้คน และสังคมได้นะครับ และที่สำคัญสิ่งเล็กๆ ที่ท่านทำในวันนี้สามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดียิ่งขึ้นได้ ขอขอบคุณทุกท่านจากหัวใจ ไว้ ณ โอกาสนี้นะครับ... แล้วกลับมาพบกันใหม่ในบทความต่อๆไปนะครับผม ^_^

บทความที่ได้รับความนิยม