BV หรือ Book Value มูลค่าหุ้นทางบัญชี คืออะไร | มือใหม่...ลงทุนในหุ้น - Stock Investment EP.3


สวัสดีครับ พบกันอีกเช่นเคยนะครับกับ Dolravee Slow Life Investor และผม ดลรวี ภัทรกุลพิมล นะครับ สำหรับในบทความนี้เรามาเรียนรู้กันนะครับว่า BV คืออะไรและมีความสำคัญต่อการวิเคราะห์และลงทุนในหุ้นอย่างไร...

เรามักจะได้ยินผ่านหูผ่านตากันมาบ้างแล้วนะครับว่า การลงทุนในหุ้นนั้นเราจำเป็นที่จะต้อง รู้จักกับ BV แล้ว BV มันคืออะไร เรามาทำความรู้จักกับ BV แบบพื้นฐานที่มือใหม่อย่างเราๆเข้าใจง่ายๆ กันเลยดีกว่านะครับ ว่าแท้จริงแล้วคืออะไร และมีความสำคัญกับการนำไปใช้วิเคราะห์ในกาลงทุนในหุ้นของเราอย่างไร...


BV คือชื่อย่อของ Book Value แปลเป็นไทยๆก็คือ มูลค่าหุ้นทางบัญชี หมายถึง หน่วยมูลค่าทางบัญชีต่อ 1 หุ้น คือการเอาทุนของบริษัททั้งหมด เป็นตัวตั้งแล้วหาร ด้วยจำนวนหุ้นของบริษัททั้งหมด แล้วเราจะได้ผลลัพที่เป็น BV ออกมา...

สมมุติตัวอย่างแบบง่ายๆให้เข้าใจกันง่ายๆเลยนะครับว่า บริษัทของคุณเองเริ่มด้วยเงินทุนก่อตั้งธุรกิจ ที่เงินลงทุน 10 ล้านบาท และแบ่งเป็นหุ้นเป็นจำนวน 1 ล้านหุ้น หุ้นละ 10 บาท บริษัทของคุณได้ดำเนินงานมาได้ครบ 2 ปี  และในระยะ 2 ปีโดยสิ้นสุดปีที่ 2 บริษัคุณมีกำไรรวมอยู่ที่ 10 ล้านบาท



ถึงตอนนี้เราต้องการหาค่า BV เราก็เอาจำนวนเงินลงทุน ตอนก่อตั้งบริษัท 10 ล้านบาท บวกด้วยกำไรรวมสิ้นปีที่ 2 อีก 10 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 20 ล้านบาท หารด้วยจำนวน 1 ล้านหุ้น เราจะได้ค่า BV ออกมาตอนสิ้นปีที่ 2 คือ 20 บาท ต่อ หุ้นนั้นเองนะครับ เพราะฉะนั้น ถ้าหากเราต้องการจะขายหุ้น ณ สิ้นสุดปีที่ 2 นี้เราจะต้องขายที่ราคาแพงกว่า 20 บาทต่อหุ้น นั้นหมายถึงเราจะขายหุ้นเท่าราคา BV หรือขายแพงกว่าราคา BV ก้ได้ นั้นเอง แต่สมมุติถ้าเราต้องการขายหุ้นแบบด่วนๆเพื่อต้องการเงินโดยเร็วเราสามารถขายในราคา 15 บาทต่อหุ้นก็ทำได้ ซึ่งในลักษณะนี้คือการขายหุ้นที่ราคาต่ำกว่า BV นั้นเอง ซึ่งฝั่งผู้ซื้อหุ้นจะมองว่าราคานี้เป็นราคาที่ต่ำกว่าราคา BV นักลงทุนจะมองว่าเป็นหุ้นที่ถูกนั้นเอง... 



ถึงตอนนี้คงคิดกันไช่ไหมครับว่า ถ้าแบบนี้เราก็หาหุ้น ที่มีราคา หุ้นที่ต่ำกว่าราคา BV ก็ซื้อหุ้นเหล่านี้เก็บไว้ได้ แต่ที่จริแล้วอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป เพราะว่า หุ้นที่มี BV ต่ำๆนั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นหุ้นที่ขาดทุนสะสม จึงไม่มีใครสนใจ ที่จะซื้อ จึงทำให้ราคาไม่ไปไหน และยังทำให้ราคาต่ำลงเรื่อยๆ นั้นเอง...

การที่เราจะลงทุนในหุ้นที่มี BV ต่ำๆนั้นเพราะเราหวังว่าบริษัทจะเติบโตในอนาคตและมีมูลค่าที่สูงขึ้น นั้นหมายถึงก่อนการลงทุนเราจำเป็นจะต้องวิเคราะห์ ปัจจัยภายนอก และ ปัจจัยภายใน ประกอบด้วยอื่นๆ อาทิ เศรษฐกิจ วงจรของธุรกิจ วัฎจักร เกิด แก เจ็บ ตาย ของธุรกิจ การเมือง และปัจจัยด้านอื่น ฯลฯ ซึ่งหุ้นในลักษณะนี้หากฟื้นตัวและเติบโตขึ้นจนทำให้บริษัทไม่มีการขาดทุนสะสมและสามารถจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ ส่วนใหญ่แล้วหุ้นในลักษณะนี้จะเป็นหุ้นที่มีราคาวิ่งขึ้นแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว.. นั้นก็หมายความว่าเราจะได้ส่วนต่างราคาหุ้นที่สูงขึ้น และยังได้รับปันผลจากกำไรของกิจการอีก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การลงทุนมีความเสี่ยง เราต้องศึกษาจนมั่นใจก่อนนะครับว่าหุ้นตัวที่เราสนใจนั้นมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นในอนาคตจริงๆ..นะครับ... 

ถึงตรงนี้คงพอจะเข้าใจภาพรวมเบื้องต้นกันแล้วนะครับว่าเราควรจะเลือกซื้อหุ้นที่มี BV กันแบบไหน BV หรือ Book Value มูลค่าหุ้นทางบัญชี คืออะไร สำหรับวันนี้ผมขอจบเพียงเท่านี้ก่อน..

แล้วกลับมาพบกับผมใหม่ในบทความต่อๆไปนะครับ สำหรับท่านใดที่มีข้อสงสัยอะไรเพิ่มเติมสามารถฝากข้อความไว้ข้างล่างบทความนี้ได้เลยนะครับ และผมจะไปค้นหาคำตอบมาให้นะครับ สำหรับวันนี้ขอตัวลาไปก่อน สวัสดีครับ…..

บทความ : ดลรวี ภัทรกุลพิมล
Youtube : https://goo.gl/F6d8A4
FaceBook : https://www.facebook.com/CoachDolravee/
Blogger : https://www.Dolravee.com/
Twitter : https://twitter.com/CoachDolravee
Instagram : https://www.instagram.com/CoachDolravee/
G+ : https://plus.google.com/+CoachDolravee


ราคาหุ้น ขึ้น - ลง ได้อย่างไร | มือใหม่...ลงทุนในหุ้น - Stock Investment EP.2


สวัสดีรับ พบกันอีกเช่นเคยนะครับกับ Dolravee Slow Life Investor และผม ดลรวี ภัทรกุลพิมล นะครับ สำหรับในบทความนี้เรามาเรียนรู้กันในเรื่องของราคาหุ้น ขึ้น และ ลง ได้อย่างไร นะครับ... เราอาจมีความสงสัยกันว่าในแต่ละวันที่มีการซื้อขายหุ้นทำไมราคาหุ้นถึงได้วิ่งขึ้นๆลงๆและในบางวันและบางช่วงเวลาหุ้น ขึ้น-ลง เร็วมากโดยเฉพาะช่วงที่มีความผันผวนของราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ แล้วมันขึ้นลงได้อย่างไร...



ในบทความนี้ผมจะมาพูดถึงปัจจัยเบื้องต้นสำหรับมือใหม่ที่ต้องการลงทุนในหุ้นกันก่อนนะครับ ในเรื่องของราคาหุ้น ขึ้น และ ลง ได้อย่างไรนั้น ส่วนใหญ่นักลงทุนจะมีวิธีวิเคราะห์กัน สองปัจจัยหลักใหญ่ๆ ก็คือ ปัจัยทางด้านเทคนิค และปัจจัยทางด้านพื้นฐาน เรามาดูกันเลยครับว่าทั้งสองปัจจัยนี้มันต่างกันอย่างไร...


ในด้วนปัจัยทางเทคนิคคือการวิเคราะห์กราฟของหุ้น และวิเคราะห์มุมมองทางด้านเศรษฐศาสตร์ อุปสงค์ อุปทาน ของหุ้น นั้นหมายความว่าถ้าในตัวบริษัท หรือหุ้นตัวนั้นๆ มีความต้องการของนักลงทุนสูงขึ้น นั้นหมายถึงมีอุปสงค์สูงขึ้น  จึงทำให้ราคาของหุ้นถูกไล่ต้อนให้สูงขึ้นเรื่อยๆ เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่านักลงทุนจะรีบกันแห่ซื้อหุ้น เพราะกลัวว่าถ้าไม่รีบซื้อ หุ้นจะแพงขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องรีบซื้อเพื่อขายทำกำไรในตอนที่หุ้นวิ่งสูงขึ้น คือจะได้รับผลต่างราคา ซื้อถูกขายแพงนั้นเอง.... ทั้งนี้นักลงทุนจะต้องวิเคราะกราฟของหุ้นเป็นปัจจัยทางด้านเทคนิคในการตัดสินใจช่วงจังหวะเวลาเข้าซื้อและขายหุ้นในตัวนั้นๆด้วยนั้นเอง...


ในด้านปัจจัยพื้นฐานของหุ้น สาเหตุที่ทำให้หุ้นขึ้น เพราะในตัวบริษัทหรือหุ้นตัวนั้นๆ มีกำไรจากการดำเนินงานที่สูงขึ้น  จึงทำให้ผู้ถือหุ้น ได้เงินปันผลที่สูงกว่าอัตาดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร ในกรณีนี้ถ้าเราเทียบเป็นเปอร์เซ็นของเงินลงทุน หากเราเอาเงินไปฝากธนาคาร กับการนำเงินมาลงทุนในหุ้น และผลตอบแทนของดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร สูงกว่าเงินปันผลจากการลงทุนจะทำให้นักลงทุนแห่นำเงินไปฝากธนาคารเพราะได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าและมีความเสี่ยงที่น้อยกว่า แต่ถ้าเงินปันผลของกิจการมีอัตราที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร จะทำให้นักลงทุนนำเงินมาลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของเงินฝากธนาคาร ซึ่งในปัจจุบันอัตราผลตอบแทนเงินปันผลของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่จะสูงกว่า อัตราดอกเบี้ยของเงินฝากธนาคารอยู่แล้ว นักลงทุนจึงนำเงินมาลงทุนในหุ้นมากขึ้นเรื่อยๆนั้นเอง...


ในการลงทุนบางครั้งเราอาจจะเห็นว่าบริษัทที่ไม่มีกำไร แต่กลับราคาหุ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า ในการลงทุนในหุ้นนั้นมักจะมีเจ้ามือ เข้ามาคอยปั่นราคา จากหุ้นกิจจการที่เคยขาดทุน กลับมีราคาหุ้นที่สูงขึ้นไปจนเรารู้สึกว่าหุ้นตัวนี้ทำไมถึงแพงเพราะเจ้ามือจะปั่นราคาจากราคาถูกให้แพงขึ้นโดยอาศัยการปล่อยข่าวลือว่าหุ้นบริษัทนี้จะมีกำไรเพื่อเป็นเครื่องมือในการทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้น เมื่อราคาหุ้นสูงขึ้นเป็นที่น่าพอใจของเจ้ามือ...เจ้ามือจะขายหุ้นเพื่อทำกำไรทันที เพราะเจ้ามือใด้ซื้อหุ้นในราคาถูกไว้แล้วก่อนหน้านี้แล้ว... หลังจากนั้นหุ้นก็ตกลงเหล่าแมงเม่าก็จะติดดอยตามระเบียบ เพราะมันเป็นเกมของเจ้ามือทั้งหมด นั้นเอง…


เพราะฉะนั้นมือใหม่ที่คิดจะลงทุนในหุ้นจะต้องระมัดระวังในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะส่วนใหญ่จะหลงไปกับข่าวลือและชอบลงทุนตามคนอื่นตามกระแสเสียส่วนใหญ่ หากเราจะซื้อหุ้นเราควรจะต้องดูที่งบการเงินว่าบริษัทนั้นๆว่ามีกำไรหรือไม่... ยิ่งถ้าบริษัทนั้นมีกำไรแบบสมเหตุสมผล และมีข่าวลือในด้านดี มีอุปสงค์ที่สูงขึ้น แบบนี้คือหุ้นที่ควรซื้อเก็บไว้ เพราะจะทำให้เราได้ทั้งส่วนต่างราคาหุ้นที่จะมีราคาสูงขึ้นในอนาคตและได้รับเงินปันผลในระยะยาวไม่ต้องไปเสี่ยงกับหุ้นปั่นราคาที่มาจากเจ้ามือ...

ถึงตรงนี้คงพอจะเข้าใจภาพรวมเบื้องต้นกันแล้วนะครับว่าเราควรจะเลือกซื้อหุ้นกับแบบไหน ราคาหุ้น ที่ขึ้น ลง มันขึ้นลงอย่างไรนะครับ... สำหรับวันนี้ผมขอจบเพียงเท่านี้ก่อน..แล้วกลับมาพบกับผมใหม่ในบทความต่อๆไปนะครับ  ของให้ท่านมีความสุขกาย สบายใจ เงินทองไหลมาเทมากันนะครับ สวัสดีครับ…..


Article by : ดลรวี ภัทรกุลพิมล
Youtube : https://goo.gl/F6d8A4
FaceBook : https://www.facebook.com/CoachDolravee/   
Blogger : https://www.Dolravee.com/   
Twitter : https://twitter.com/CoachDolravee           
Instagram : https://www.instagram.com/CoachDolravee/       
G+  : https://plus.google.com/+CoachDolravee   

หุ้น...มาจากไหน... | มือใหม่...ลงทุนในหุ้น... EP.1


สวัสดีครับ พบกันอีกเช่นเคยนะครับ กับ  Dolravee Slow Life Investor  ในบทคามนี้นะครับเราจะมาพูดคุยกันในหัวข้อที่เป็นพื้นฐานสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ แต่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นจำเป็นต้องรู้เรื่องนี้นะครับ ว่า หุ้นนั้นมาจากไหน...


 แน่นอนนะครับว่าในหลักการการลงทุนในหุ้นนั้น มันจะต้องมีตัวสินค้า ที่เราจะมาซื้อขายกัน นั้นก็คือ หุ้น นั้นเอง... และหุ้นคือตราสารทุนชนิดหนึ่งนั้นเอง…แล้วหุ้นนั้นมาจากไหน ทำไมถึงเอามาซื้อขายกัน ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆนะครับว่า สมมุติว่าเรามีความคิดที่จะเปิดกิจการโดยเริ่มจากที่เราจะทำโครงการขึ้นมาสักหนึ่งโครงการ ซึ่งคุณมีความถนัด และมีความเชื่อมั่นว่าโครงการของบริษัทของคุณนี้จะสร้างผลกำไรให้กับคุณในอนาคต สมมุติเอาง่ายๆเลยนะครับว่า เป็นโครงการการผลิตไอศกรีมทอด ซึ่งจะต้องใช้เงินลงทุน 10 ล้าบาท และเงินจำนวนนี้จะไปเป็นเงินลงทุนในบริษัทของคุณเอง และเงินจำนวนนี้จะไปซื้อ เครื่องจักร ก่อสร้างโรงงาน ซื้อวัถุดิบ และอื่นๆ จิปาถะ...

ทั้งนี้การจ่ายเงินจำนวนนี้จะต้องถูกจ่ายออกไปจากบริษัทของคุณเองไม่ไช่การจ่ายจากตัวคุณเอง ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าคุณเอาเงินจำนวน 10 ล้านบาทที่คุณมี ไปซื้อหุ้นของบริษัทของคุณเองและคุณก็ได้หุ้นมาถือครอง...



เนื่องจากตามกฎหมาย บริษัท ก็คือ นิติบุคคล พูดแบบภาษาชาวบ้านก็คือทำหน้าที่เป็นตัวแทน ของเรานั้นเองนะครับ เพราะว่า บริษัทจะเกิดขึ้นได้ต้องมาจากการลงทุนโดยการนำเงินของเราเข้าไปซื้อหุ้นของบริษัท ที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ในที่นี้บริษัทของคุณได้จดทะเบียนไว้ที่ 10 ล้านบาท ที่ได้มาจากเงินที่คุณไปซื้อหุ้นของบริษัทนั้นเอง และเงิน 10 ล้านบาทนี้ละ ที่จะนำไปแบ่งออกเป็นหุ้น ในที่นี้ผมขอสมมุติว่าบริษัทของคุณขายหุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท ก็เท่ากับว่า ในเงินลงทุน 10 ล้านบาทของคุณจะซื้อหุ้นได้ในจำนวน 1 ล้านหุ้น นั้นเอง และในตอนนี้คุณก็เอาเงิน 10 ล้านบาทของคุณ ไปซื้อหุ้น จำนวน 1 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท เท่ากับว่าคุณได้จ่ายเงินซื้อหุ้นบริษัทของคุณเองเป็นเงิน 10 ล้านบาท และๆได้หุ้น 1 ล้านหุ้นของบริษัทของคุณมาถือครองนั้นเอง...

มาถึงตอนนี้  เราจะได้หุ้นมาแล้ว 1 ล้านหุ้น และจำนวน 1 ล้านหุ้นตรงนี้ละ ที่เราจะเอามาซื้อขายกันนั้นเอง...โดยที่บริษัทของคุณไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรอีกแล้วว่าหุ้นที่ขายออกไปจะไปอยู่กับใครบ้างบริษัทก็ดำเนินงานของบริษัทต่อไปตามวัตถุประสงค์ จากเงินลงทุน 10 ล้านบาทที่ได้จากการขายหุ้น 1 ล้านหุ้นมาแล้วนั้นเอง ถึงตรงนี่คงจะถึงบางอ่อกันแล้วนะครับว่าหุ้นที่เขาซื้อขายกันมันมาจากไหน เห็นไหมว่ามันเข้าใจไม่อยากเลย... 

และมาถึงตรงนี้เราจะมาดูว่าเขาซื้อขายกันอย่างไรในตอนนี้คุณได้มีหุ้นอยุ่ในมือแล้ว จำนวน 1 ล้านหุ้นนะครับ ซึ่งในหุ้นจำนวนนี้มันคือ ทรัพย์สินของคุณ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย และยังเป็นเจ้าของบริษัทผลิตไอศกรีมทอดตามสัดส่วนหุ้นที่คุณถืออยู่ 100% ในที่นี้ คือ 1 ล้านหุ้น และบริษัทได้ดำเนินงานตอ่ไปเรื่อยๆ และมีผลกำไรมากขึ้นเรื่อยๆ


และต่อมาวันหนึ่งได้มีนักลงทุนได้สนใจในบริษัทผลิตไอศกรีมทอดของคุณ และสนในอยากจะขอเข้าซื้อกิจการของคุณ เพราะนักลงทุนผู้นี้ได้เล็งเห็นว่าธุรกิจนี้น่าสนใจและจะสร้างผลกำไรให้กับเขาเองในอนาคตได้ ซึ่งตอนก่อตั้งบริษัทนั้น บริษัทได้กำหนดราคาหุ้นไว้ที่ 10 บาทต่อหุ้น และในตอนนี้ มูลค่าหุ้นได้เพิ่มขึ้นจากกิจการที่เติบโตขึ้นและมีผลกำไรมากขึ้น และสมมุตินักลงทุนได้เสนอซื้อหุ้นจากคุณในราคาหุ้นละ 20 บาท ถ้าหากคุณขายไปในราคาหุ้นละ 20 บาท 1 ล้านหุ้นที่คุณมี ก็เท่ากับว่า คุณจะได้เงินทั้งหมด 20 ล้านบาท นั้นหมายความว่าคุณ ได้กำไรจากการขายหุ้น 100 % คือ 10 ล้านบาท เพราหุ้นคือทรัพย์สินที่มีมูลค่าของคุณนั้นเอง แต่การซื้อขายหุ้นนั้นจะต้องขึ้นอยู่กับความพึงพอใจทั้งสองฝ่ายตกลงกัน ขึ้นอยู่กับการเจรจาตกลงตามความพึงพอใจทั้งสองฝ่าย  ซึ่งอาจจะมีราคามราคามากกว่าหรือถูกกว่าหุ้นละ 20 บาทก็ได้ ถึงตรงนี้คงเข้าใจเบื้องต้นกันแล้วนะครับว่า หุ้นมาจากไหนแล้วเขาทำกำไรและซื้อขายกันอย่างไร...



มาถึงตรงนี้คงจะมีความสงสัยกันไช่ไหมครับว่าแล้วหุ้นที่เขาซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ละ มันมาอย่างไร และทำไมซื้อขายกันได้ แล้วทำไมต้องซื้อผ่านโบรกเกอร์ ที่จริงแล้วหลักการของหุ้นเป็นไปตามที่ผมอธิบายมาข้างต้นนั้นละครับ เพียงแต่ว่าการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ มันมีรายละเอียดเพิ่มขึ้นมาก็คือ ในการที่เจ้าของบริษัทจะเอาบริษัทของตนเองไปจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ และได้เสนอขายหุ้นให้กับบุคคลทั่วไป โดยที่เจ้าของกิจการ สามารถนำหุ้นที่ตนเองมีอยู่ ออกมาแบ่งขายให้กับประชาชนทั่วไป หรือใช้วิธีเพิ่มจำนวนหุ้นให้มากขึ้น แต่ในกรณีที่เพิ่มจำนวนหุ้นให้มากขึ้นจะทำไห้เจ้าของกิจการมีทรัพย์สินที่ลดลง เพราะแบ่งขายหุ้นออกมาเป็นจำนวนมากนั้นเอง ซึ่งเราจะเห็นชื่อบริษัทเหล่านี้ จะเป็น “บริษัทมหาชน” ที่เราคุ้นหูกัน และการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้นจำเป็นจะต้องซื้อขายผ่านโบรกเกอร์นั้นเอง...



ซึ่งประชาชนทั้วไปสามารถเข้าไปซื้อหุ้นเพื่อเป็นเจ้าของกิจการร่วมตามสัดส่วนหุ้นที่ตนถือครองอยู่และนี่ละที่เขาเรียกกันว่า การลงทุนในหุ้น หรือบางท่านเรียกว่าการเล่นหุ้น นั้นเอง ซึ่งผู้ที่เข้าไปถือครองหุ้นจะได้รับ ผลตอบแทน 2 ทาง คือ

1.   กำไรจากการดำเนินกิจการ คือจะได้รับเงินปันผลจากผลกำไรของกิจการ ในกรณีที่บริษัทมีผลกำไร
2.   จะได้ค่าส่วนต่างราคาหุ้น ในกรณีที่ราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้น และเราทำการขาย เพื่อรับกำไรส่วนต่างราคาหุ้นที่สูงขึ้น นั้นเอง ...

มาถึงตรงนี้คงเข้าใจกันแล้วนะครับว่า หุ้นมาจากไหน และสร้างผลตอบแทน กำไรกันอย่างไร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงข้อมูลเบื้อต้นเพื่อให้มือใหม่เข้าใจที่มาของหุ้นกันมากขึ้นนะครับ...แท้จริงแล้วการลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยงและมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมาย จึงจำเป็นต้องศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมกันตลอดเวลานะครับ เพื่อผลประโยชน์ของตัวท่านเอง...

สำหรับวันนี้ของตัวลาไปก่อนแล้วพบกับผมใหม่ในบทความต่อๆไปนะครับ สำหรับท่านใดมีข้อสงสัยอะไรเพิ่มเติมสามารถฝากข้อความไว้ได้เลยนะครับ และผมจะไปค้นหาคำตอบมาให้ สำหรับวันนี้ขอตัวลาไปก่อน ของให้ท่านมีความสุขกาย สบายใจ เงินทองไหลมาเทมากันนะครับ สวัสดีครับ…..

Article by : ดลรวี ภัทรกุลพิมล
Youtube : https://goo.gl/F6d8A4   
FaceBook : https://www.facebook.com/CoachDolravee/   
Blogger : https://www.Dolravee.com/   
Twitter : https://twitter.com/CoachDolravee           
Instagram : https://www.instagram.com/CoachDolravee/       
G+  : https://plus.google.com/+CoachDolravee    





บทความที่ได้รับความนิยม

บทความยอดนิยมตลอดกาล