กุ๊บลอนเมืองแพร่ หัตถศิลป์ ภูมิปัญญาทรงคุณค่า หนึ่งเดียวในโลก

 


กุ๊บลอนเมืองแพร่ การฟื้นฟูหัตถศิลป์สู่เศรษฐกิจชุมชนพลังบวก

"กุ๊บลอน" ซึ่งเป็นหัตถศิลป์หมวกสานล้านนาดั้งเดิมของบ้านนาแหลม จังหวัดแพร่ ที่ใกล้จะสูญหาย ให้กลับมาเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน โครงการนี้ริเริ่มและนำโดย คุณกฤตนันท์ ทองวิภาวัน (ป้าอ้อย) อดีตมัคคุเทศก์ที่กลับสู่บ้านเกิดเพื่อดูแลมารดา และได้ค้นพบคุณค่าของมรดกภูมิปัญญานี้อีกครั้ง จากความตั้งใจแรกเพียงเพื่อการอนุรักษ์ ได้พัฒนาไปสู่การจัดตั้ง "วิสาหกิจชุมชนสืบสานมรดกภูมิปัญญากุ๊บลอนดินกี่บ้านนาแหลม" ที่เติบโตจากสมาชิกเพียง 2 คน เป็นกว่า 30 คนในปัจจุบัน

กลยุทธ์หลักที่ใช้คือการสร้างแรงจูงใจผ่านการ "ล่อซื้อ" เพื่อยกระดับคุณภาพงานฝีมือให้มีความประณีตยิ่งขึ้น ส่งผลให้มูลค่าผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นจากใบละ 40-50 บาท เป็น 300-1,250 บาท โครงการได้ต่อยอดสู่การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ร่วมสมัยที่หลากหลาย และขยายผลเป็นโมเดลการท่องเที่ยวโดยชุมชนที่เชื่อมโยงอัตลักษณ์ท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น อิฐมอญปั้นมือ อาหารพื้นบ้าน และวิถีชีวิตริมน้ำแม่แคม การดำเนินงานนี้ไม่เพียงสร้างรายได้เสริมที่ยั่งยืนให้แก่ผู้สูงอายุในชุมชน แต่ยังสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยมีวิสัยทัศน์ในการผลักดันให้ "กุ๊บลอน" เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวสู่จังหวัดแพร่ เฉกเช่นเดียวกับที่กิโมโนเป็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่น


 

ภูมิหลังและจุดเริ่มต้น

โครงการฟื้นฟูกุ๊บลอนมีรากฐานมาจากเรื่องราวส่วนตัวของคุณกฤตนันท์ ทองวิภาวัน (ป้าอ้อย) ซึ่งเป็นชาวบ้านนาแหลมโดยกำเนิด แต่ได้ไปใช้ชีวิตและทำงานเป็นมัคคุเทศก์ในกรุงเทพมหานครเป็นเวลานานถึง 29 ปี จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้นเมื่อคุณแม่ล้มป่วย ทำให้เธอต้องเดินทางกลับบ้านเกิดที่จังหวัดแพร่บ่อยครั้งขึ้นเพื่อดูแล

การกลับมาครั้งนี้ทำให้เธอได้ ค้นพบเสน่ห์และมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชนที่ถูกละเลยไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "กุ๊บลอน" และ "อิฐมอญปั้นมือ" ซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของบ้านนาแหลม ป้าอ้อยเล็งเห็นว่าในขณะที่การทำอิฐมอญยังคงมีผู้ผลิตอยู่ประมาณ 22 ครัวเรือน แต่องค์ความรู้ในการสานกุ๊บลอนกำลังเลือนหายไป คนรุ่นเก่าที่ยังทำอยู่ก็เหลือน้อยลงและหันไปสาน "งอบ" ซึ่งไม่ใช่อัตลักษณ์ดั้งเดิมของท้องถิ่นแทน ป้ายหมู่บ้านเองกลับมีรูปวาดเป็นงอบ สิ่งนี้ได้จุดประกายความตั้งใจอันแรงกล้าที่จะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อรักษามรดกชิ้นนี้ไว้

จุดเริ่มต้นที่จริงจังเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2560 เมื่อป้าอ้อยได้พบ "กุ้มกุ๊บ" (แม่พิมพ์สำหรับสานกุ๊บลอน) เก่าแก่ที่กำลังจะถูกนำไปเผาทำเชื้อไฟ เธอจึงขอซื้อเก็บไว้ พร้อมกับคำพูดที่วนเวียนในใจว่า "สืบสานจักสาบสูญ" ซึ่งกลายเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญให้เธอเริ่มต้นรวบรวมแม่พิมพ์และฟื้นฟูการสานกุ๊บลอนอย่างจริงจัง แม้ในช่วงแรกจะไม่ได้รับงบประมาณสนับสนุนก็ตาม

 


หัวใจสำคัญ กุ๊บลอน หัตถศิลป์แห่งบ้านนาแหลม

"กุ๊บลอน" คือหมวกสานของชาวล้านนา มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างจากหมวกชนิดอื่น เป็นมรดกภูมิปัญญาที่สะท้อนวิถีชีวิตและความเชื่อของคนในชุมชน

 

ลักษณะและองค์ประกอบ

รูปทรง เอกลักษณ์ที่สำคัญที่สุดคือลักษณะ "ลอน" หรือร่องคลื่น 2 ร่องบนตัวหมวก ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ "กุ๊บลอน"

วัสดุหลัก

    ◦ ไม้ไผ่บง ใช้ไม้ไย่วงที่มีอายุประมาณ 1 ปี ไม่แก่หรืออ่อนเกินไป นำมาจักเป็นเส้นตอกสำหรับขึ้นโครงสร้าง

    ◦ ใบตาล (ใบลาน) ใช้สำหรับเย็บปิดทับโครงสร้างไม้ไผ่เพื่อกันแดดและฝน

องค์ประกอบทางวัฒนธรรม

    ◦ ตาแหลว ก่อนที่จะขึ้นรูปหมวก จะต้องมีการสาน "ตาแหลว" ที่ส่วนยอดสุดก่อนเสมอ ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเปรียบเสมือน "ดวงตาสวรรค์" หรือ "ดวงตาเหยี่ยว" เป็นเครื่องรางของขลังที่ช่วยปกป้องคุ้มครองผู้สวมใส่ ทำให้การสวมกุ๊บลอนไม่ได้เป็นเพียงการกันแดดฝน แต่ยังเป็นความเชื่อและความเป็นสิริมงคลอีกด้วย

 


กระบวนการผลิตอันประณีต

การผลิตกุ๊บลอนแต่ละใบต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนที่อาศัยภูมิปัญญาและทักษะความชำนาญสูง

1. การเตรียมไม้ไผ่ คัดเลือกไม้ไผ่บงอายุ 1 ปี นำไปตากแดดให้แห้ง แล้วจึงนำไปแช่น้ำประมาณ 2 วัน 2 คืน

2. การจักตอก นำไม้ไผ่ที่เตรียมไว้มาจักเป็นเส้นตอกบางๆ และต้องมีการ "ลืบตอก" หรือขูดตอกให้เรียบ

3. การสานตาแหลว เริ่มต้นสานส่วนยอดของหมวกเป็นลายตาแหลว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการขึ้นรูป

4. การขึ้นรูปบนแม่พิมพ์ (กุ้มกุ๊บ) นำเส้นตอกมาสานขึ้นรูปบนแม่พิมพ์ที่เรียกว่า "กุ้มกุ๊บ" ซึ่งเป็นมรดกตกทอดและเปรียบเสมือนสมุดบันทึกเรื่องราวของบรรพบุรุษ

5. การเย็บใบลาน เมื่อได้โครงหมวก (ห้างกุ๊บ) แล้ว จะนำใบลานที่ตัดเป็นเส้นมาเย็บปิดทับโครงสร้างทั้งหมด

6. การเข้าขอบและเก็บรายละเอียด ทำการเข้าขอบหมวกด้วย "ไม้ขอบ" ที่เหลาเตรียมไว้ และอาจมีการใส่ "โมง" เพื่อความสวยงามและคงทน

 

เส้นทางการฟื้นฟู จาก 2 สู่ 30

การเดินทางเพื่อฟื้นฟูกุ๊บลอนเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด ทำให้โครงการสามารถเติบโตและสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างเป็นรูปธรรม

 


กลยุทธ์และแนวทางการพัฒนา

การ "ล่อซื้อ" เพื่อยกระดับคุณภาพ ในช่วงแรกที่กุ๊บลอนมีราคาเพียงใบละ 40-50 บาทและคุณภาพยังไม่สม่ำเสมอ ป้าอ้อยใช้กลยุทธ์ "ล่อซื้อ" โดยให้ราคาสูงขึ้น 20 บาท สำหรับงานที่สวยและประณีตขึ้น เพื่อจูงใจให้ช่างฝีมือ (ยายหวิน) พัฒนาฝีมืออย่างต่อเนื่อง จนได้งานที่มีคุณภาพสูง

การแบ่งระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ จากกลยุทธ์ข้างต้น ทำให้สามารถแบ่งระดับคุณภาพของกุ๊บลอนได้ 3 ระดับ คือ งานธรรมดา, งานละเอียด, และงานประณีต ซึ่งทำให้สามารถกำหนดราคาที่แตกต่างกันตามคุณภาพได้ตั้งแต่ 150 บาท ไปจนถึง 600 บาทสำหรับงานฝีมือชั้นสูง

การก่อตั้งวิสาหกิจชุมชน จากจุดเริ่มต้นที่มีเพียงป้าอ้อยและยายหวิน (ปราชญ์ชุมชนผู้ล่วงลับ) ได้เติบโตขึ้นจนสามารถจัดตั้งเป็น "วิสาหกิจชุมชนสืบสานมรดกภูมิปัญญากุ๊บลอนดินกี่บ้านนาแหลม" ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 30 คน มีการซื้อหุ้นและจ่ายเงินปันผล สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน

การถ่ายทอดองค์ความรู้ แม้จะสูญเสียปราชญ์ชุมชนคนสำคัญอย่างยายหวินไป แต่ยังคงมีการสืบทอดภูมิปัญญาต่อไปยังลูกสาว (คุณอารี) และคนในชุมชน (ยายจิ๊บ) ปัจจุบันช่างฝีมือที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มคือ 56 ปี ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายในการส่งต่อสู่คนรุ่นใหม่

 

การสนับสนุนจากภาคีเครือข่าย

ความสำเร็จของโครงการไม่ได้มาจากความพยายามของคนในชุมชนเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้รับการสนับสนุนจากบุคคลและองค์กรภายนอกที่มองเห็นคุณค่า อาทิ

ดร. เขมิกา นักวิชาการที่เข้ามาช่วยขับเคลื่อนและให้ความรู้เชิงวิชาการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560

อาจารย์บัญชา ชูดวง (อาจารย์ไก่) ดีไซเนอร์ที่ช่วยให้คำแนะนำด้านการออกแบบและมองเห็นคุณค่าของผลิตภัณฑ์ จนทำให้เกิดการพัฒนางานประณีตที่สามารถขายได้ในราคาสูงขึ้น (จาก 150 บาท เป็น 300 บาท)

CBMC การเข้ารับการอบรมจาก CBMC ทำให้ป้าอ้อยได้แนวคิดและเครื่องมือในการทำงานอย่างเป็นระบบ มีความเชื่อมั่น และไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค

หน่วยงานภาครัฐและ สสส. เริ่มมีหน่วยงานต่างๆ เช่น พัฒนาชุมชน, กศน., เกษตร และ สสส. เข้ามาเป็นพันธมิตร โดย สสส. ได้สนับสนุนงบประมาณในการพัฒนากระบวนการย้อมสีธรรมชาติ เพื่อสุขภาพที่ดีของผู้ผลิตและผู้บริโภค

 


จากงานหัตถศิลป์สู่ระบบเศรษฐกิจชุมชนที่ยั่งยืน

โครงการได้ขยายขอบเขตจากการผลิตหมวกเพียงอย่างเดียว ไปสู่การสร้างระบบเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงทรัพยากรและกิจกรรมต่างๆ ในชุมชนเข้าด้วยกัน

 

การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการท่องเที่ยว

ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ มีการออกแบบกุ๊บลอนในรูปแบบใหม่ๆ เพื่อตอบสนองตลาดที่กว้างขึ้น เช่น หมวกแก๊ป, หมวกกะโล่, ปิ่นปักผม, กระเป๋า และหมวกนักรบ (รุ่นสมหวัง) ซึ่งเป็นรุ่นพิเศษที่มีราคาสูงถึง 1,250 บาท

โมเดลการท่องเที่ยว "ปั่น ปั้น สาน สาด สิน สล่า ชุมชน"

    ◦ ปั่น จัดกิจกรรมปั่นจักรยานเที่ยวชมวิถีชีวิตในชุมชน เลียบลำน้ำแม่แคม

    ◦ ปั้น เยี่ยมชมลานปั้นอิฐมอญซึ่งเป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาของบ้านนาแหลม

    ◦ สาน จัดกิจกรรม Workshop ให้นักท่องเที่ยวได้ทดลองสานตาแหลวหรือเย็บกุ๊บลอน

    ◦ เชื่อมโยงกิจกรรมอื่น ผนวกกิจกรรมเข้ากับการเยี่ยมชมบ้านสล่า (ช่างแกะสลัก), บ้านตำราไก่ชน, วัดสำคัญในชุมชน และการรับประทานอาหารพื้นเมืองที่ร้าน "ห้อมไม้บ้านดิน" ของป้าอ้อย

กิจกรรม DIY สร้างสรรค์กิจกรรมเสริม เช่น การทำ Eco-Print บนผ้าเพื่อนำไปทำกระเป๋าหรือตุง เป็นการสร้างรายได้เสริมและดึงพลังแฝงของคนในชุมชนออกมา

 


ผลกระทบเชิงบวกและความยั่งยืน

เศรษฐกิจ สร้างอาชีพและรายได้เสริมที่มั่นคงให้แก่สมาชิกในชุมชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ

สังคม เป็นพื้นที่ให้ผู้สูงอายุได้มาพบปะสังสรรค์ ทำกิจกรรมร่วมกัน ทำให้เกิดความสุขและความภาคภูมิใจในตนเอง

ความยั่งยืน ให้ความสำคัญกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อม โดยเปลี่ยนจากการใช้แลคเกอร์เคมีมาใช้ น้ำมันขี้ผึ้ง (Beeswax) ในการเคลือบใบลาน และใช้ สีจากวัสดุธรรมชาติ ในการย้อมเส้นตอก ซึ่งปลอดภัยทั้งต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค

 

วิสัยทัศน์ อุปสรรค และอนาคต

ป้าอ้อยมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการผลักดันให้ "กุ๊บลอน" ไม่ได้เป็นเพียงสินค้าหัตถกรรม แต่เป็น แม่เหล็กทางวัฒนธรรม ที่จะดึงดูดผู้คนให้มาเยือนจังหวัดแพร่ ทำให้แพร่ไม่ใช่แค่ "เมืองผ่าน" อีกต่อไป โดยเปรียบเทียบกับความสำเร็จของกิโมโนในญี่ปุ่น หรือชุดอ๋าวหญ่ายในเวียดนาม

 

ประเด็นท้าทายที่สำคัญ

1. การสืบทอดสู่คนรุ่นใหม่ ช่างฝีมือส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ (อายุน้อยที่สุด 56 ปี) การหาคนรุ่นใหม่ที่สนใจและมีความอดทนในการทำงานฝีมือที่ต้องใช้เวลาและความประณีตยังคงเป็นโจทย์ใหญ่

2. การยอมรับและการสนับสนุน ในช่วงแรกเคยถูกคนในพื้นที่มองข้ามและไม่เห็นคุณค่า แม้ปัจจุบันจะเริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้น แต่ยังคงต้องการการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขยายผลในวงกว้าง

3. การสร้างสมดุล การรักษาสมดุลระหว่างการอนุรักษ์คุณค่าดั้งเดิมกับการพัฒนาเชิงพาณิชย์ให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน

 


ช่องทางการติดต่อ

ที่ทำการ: ห้อมไม้บ้านดิน, บ้านนาแหลม, จังหวัดแพร่

เบอร์โทรศัพท์: 081-817-8755

Facebook Page: กุ๊บลอน มะเก่า

Facebook ส่วนตัว: กฤตนันท์ ทองวิภาวัน

 

ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย AM 1467 KHz
วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 – 19.00 น.

กุ๊บลอนเมืองแพร่ ศิลปะ หัตถศิลป์ ภูมิปัญญาอันทรงคุณค่า ตอน 1
กุ๊บลอนเมืองแพร่ ศิลปะ หัตถศิลป์ ภูมิปัญญาอันทรงคุณค่า ตอน 2


เรียบเรียง/บทความโดย ครูพี่ลี ดลรวี ภัทรกุลพิมล
โปรดิวเซอร์ รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน

คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน รายการที่จะนำคุณไปสัมผัสกับ อัตลักษณ์ท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย เศรษฐกิจพอเพียง และแนวคิดดีๆ จากบุคคลต้นแบบ ปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อเป็นพลังสรรค์สร้าง คุณภาพชีวิตทีดี อย่างยั่งยืน

  • ออกอากาศทาง สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย วิทยุเพื่อการเรียนรู้และเตือนภัย ภาคกลาง AM 1467 KHz ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ
  • ออกอากาศทางช่องทาง Live Streaming ผ่าน Facebook Live "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ
  • สามารถมารับชมย้อนหลังผ่านทาง Youtube ช่อง "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ได้อีกช่องทางหนึ่ง...

เพจ & Youtube : รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน

เกี่ยวกับเรา : รายการ "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" เราคือใคร?

ป.ล. หากบทความนี้มีประโยชน์ ฝากช่วยกันแชร์ บทความนี้ส่งต่อๆ ออกไปสู่กลุ่มผู้คนวงกว้างให้ได้รับคุณประโยชน์... แบ่งปันความรู้ดีๆ กันนะครับ หนึ่งความรู้ หนึ่งความคิดดีๆ อาจจะเปลี่ยน ช่วยเหลือ ผู้คน และสังคมได้นะครับ และที่สำคัญสิ่งเล็กๆ ที่ท่านทำในวันนี้สามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดียิ่งขึ้นได้ ขอขอบคุณทุกท่านจากหัวใจ ไว้ ณ โอกาสนี้นะครับ... แล้วกลับมาพบกันใหม่ในบทความต่อๆไปนะครับผม ^_^

4 เรื่องจริงน่าทึ่งของ “ธรรมาภิบาล” ที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้!

 


4 เรื่องจริงน่าทึ่งของ "ธรรมาภิบาล" ที่คุณอาจไม่เคยรู้จากที่ไหนมาก่อน

คำว่า "ธรรมาภิบาล" (Good Governance) อาจฟังดูเป็นคำใหญ่ เป็นศัพท์เชิงวิชาการที่ดูเหมือนจะลอยอยู่ไกลตัวเรา และเกี่ยวข้องกับแค่นักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูงเท่านั้น หลายคนอาจรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและยากจะเข้าใจแต่เบื้องหลังคำศัพท์ที่ดูเป็นทางการนี้ กลับมีเรื่องราวเบื้องลึกที่น่าประหลาดใจ เต็มไปด้วยแง่มุมที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรม รากเหง้า และชีวิตประจำวันของเราอย่างคาดไม่ถึง มันไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมายหรือโครงสร้างการบริหารประเทศ แต่เป็นเรื่องที่เริ่มต้นจากจุดที่เล็กที่สุด นั่นคือ "หัวใจ" ของคนแต่ละคน

บทความนี้ผมจะพาท่านออกเดินทางไปค้นพบ 4 ประเด็นน่าทึ่งที่สรุปจากการสนทนากับ
พลเอก ดร. กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ เลขาธิการเครือข่ายธรรมาภิบาลแห่งชาติ เพื่อเปิดมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับธรรมาภิบาล ที่จะทำให้คุณเห็นว่าเรื่องนี้ใกล้ตัวและสำคัญกว่าที่เคยคิด

1. "ประชาธิปไตย" และ "วินัย" ไม่ใช่ของนำเข้า แต่มีอยู่ในวัฒนธรรมไทยมาแต่โบราณ

 

หลายครั้งที่เรามักได้ยินการเปรียบเทียบสังคมไทยกับชาติตะวันตกในเรื่องประชาธิปไตย หรือกับญี่ปุ่นในเรื่องระเบียบวินัย จนเกิดความคิดฝังใจว่าสิ่งเหล่านี้คือแนวคิดที่ต้อง "นำเข้า" มาปรับใช้ แต่ พล.อ. ดร. กิตติศักดิ์ ชวนให้เราพลิกมุมมองและขุดค้นสมบัติทางวัฒนธรรมที่ถูกมองข้ามไป ท่านชี้ว่าเรามักจะ "บ้าฝรั่ง" จนลืมไปว่าหลักการสำคัญเหล่านี้ซ่อนอยู่ในรากเหง้าของเรามาเนิ่นนาน

ด้านประชาธิปไตย : ลองนึกถึงประเพณีการ "ชักผ้าป่ากฐิน" ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา เมื่อมีผ้ากฐินเกิดขึ้นท่ามกลางหมู่สงฆ์ คณะสงฆ์จะพิจารณาร่วมกันและลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าพระภิกษุรูปใดเหมาะสมที่จะได้รับผ้าผืนนั้น นี่คือกระบวนการประชาธิปไตยทางตรงที่บริสุทธิ์และงดงามซึ่งแฝงอยู่ในประเพณีของเรา

ด้านระเบียบวินัย : เราชื่นชมการเข้าคิวของคนญี่ปุ่น แต่กลับมองข้ามแบบอย่างที่ใกล้ตัวที่สุด นั่นคือ วินัยสงฆ์ ภาพของการเข้าแถวบิณฑบาตอย่างเป็นระเบียบ หรือการนั่งตามลำดับอาวุโส (พรรษา) ล้วนเป็นภาพสะท้อนของวินัยที่เคร่งครัดซึ่งมีอยู่ในสังคมไทยมาตลอด

"เราเนี่ย มีวินัยก่อนเขาอีกครับ แต่เราไม่ดู ไม่ดูตัวอย่างของ เราเอง คืออะไรไหมครับ เรื่องวินัย เรื่องเข้าคิว พระแซงคิวไหมครับ พระบิณฑบาตแซงคิวไหมครับ พระนั่งตามพรรษาไหมครับ เห็นไหมฮะ"
บทเรียนที่ซ่อนอยู่ในประเพณีอันเรียบง่ายนี้คือ การหันกลับมามองเห็นและภาคภูมิใจในภูมิปัญญาดั้งเดิม อาจเป็นกุญแจสำคัญดอกแรกในการสร้างสังคมที่มีธรรมาภิบาลอย่างยั่งยืน โดยไม่ต้องรอรับแนวคิดจากที่อื่น

2. เบื้องหลังการคอร์รัปชันที่น่าตกใจ เมื่อ "ค่าคอมมิชชัน" พุ่งสูงถึง 50-70%

 

ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันเป็นสิ่งที่ทุกคนรับรู้ แต่เบื้องลึกของปัญหานั้นรุนแรงกว่าที่หลายคนคาดคิด พล.อ. ดร. กิตติศักดิ์ ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า ปัญหาการเรียกรับเงินใต้โต๊ะในโครงการภาครัฐนั้นทวีความรุนแรงถึงขั้นมีการเรียกรับสูงถึง 50% หรือแม้กระทั่ง 70% ของมูลค่าโครงการ ซึ่งสูงกว่า "ค่าคอมมิชชัน" ที่ภาคธุรกิจเคยจ่ายกันในอดีตที่ราว 10-20% อย่างมหาศาลสิ่งที่มุมมองนี้เผยให้เห็นคือความจริงที่ซับซ้อนและน่าอึดอัดใจเบื้องหลังการก่อตั้งองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันขนาดใหญ่บางแห่ง ไม่ได้เกิดขึ้นจากอุดมการณ์อันบริสุทธิ์เพียงอย่างเดียว

แต่มีแรงผลักดันสำคัญมาจากการที่ภาคธุรกิจ "ทนไม่ไหว" กับการถูกรีดไถในอัตราที่สูงเกินจะรับได้ การตั้งองค์กรขึ้นมาจึงเปรียบเสมือนการสร้าง
"เครื่องมือต่อรอง" เพื่อเจรจาให้การจ่ายเงินใต้โต๊ะกลับมาอยู่ในระดับที่ "สมเหตุสมผล" มากกว่าที่จะขจัดให้หมดไป"ที่นี้ปรากฏว่า ภาครัฐที่โกงเนี่ย มันไม่เอา 20-30% แล้วครับ มันเอา 50% เลย โอ้โห มันเรียกทีนึง 70% เลย... ไอ้ นี่ ก็เลยตั้ง ไอ้ตัวนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องต่อรอง"

นี่คือภาพสะท้อนของวงจรการทุจริตที่ฝังรากลึกและบิดเบี้ยว จนแม้กระทั่งการลุกขึ้นต่อสู้ก็ยังมีแรงจูงใจที่ซับซ้อน มันแสดงให้เห็นถึงวิกฤตการณ์ทางธรรมาภิบาลที่กัดกินสังคมลึกกว่าที่หลายคนเคยจินตนาการไว้

3. ปัญหาไม่ใช่ขาดหน่วยงานปราบโกง แต่คือการมี "มากเกินไป" จนสับสน

 

เมื่อพูดถึงการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน คนส่วนใหญ่มักนึกถึงการตั้งหน่วยงานขึ้นมาปราบปราม แต่จากการสะท้อนมุมมองของ คุณหมอสมส่วน บูรณพงษ์ ซึ่งทำงานใกล้ชิดกับภาคประชาสังคม กลับพบความจริงที่น่าประหลาดใจว่า ประเทศไทยมี "หน่วยงานปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่นมากเกินไป"
การมีองค์กรจำนวนมาก เช่น ป.ป.ช., ป.ป.ท. และองค์กรภาคประชาสังคมต่างๆ แต่กลับทำงานแบบ "ต่างคนต่างทำ"

และขาดการบูรณาการอย่างแท้จริง ได้สร้างปัญหาใหม่ขึ้นมา นั่นคือความสับสนและไร้ประสิทธิภาพ ประชาชนที่เดือดร้อนไม่รู้ว่าจะต้องไปพึ่งพาหน่วยงานใดเป็นหลัก ทำให้กระบวนการตรวจสอบล่าช้าและไม่เป็นเอกภาพ เปรียบเสมือนการขาดระบบ
"one stop service" ที่จะจัดการปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จ

"หน่วยงานปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันมันไม่ใช่ one stop service คือเป็นจุดเดียวแล้วก็... คุณจะมีหลายองค์กรก็ไม่ได้ว่านะ แต่ว่ามันต้องบูรณาการ หันมานั่งคุยกัน จับไม้จับมือกัน"
ประเด็นนี้ชี้ให้เห็นว่า การแก้ปัญหาคอร์รัปชันอาจไม่ใช่แค่การเพิ่มกฎหมายหรือตั้งหน่วยงานใหม่ แต่หัวใจสำคัญคือการ "บูรณาการ" การทำงานของหน่วยงานที่มีอยู่ให้มีทิศทางเดียวกัน สร้างกลไกที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การต่อสู้กับการทุจริตเป็นไปอย่างมีพลังและเป็นระบบอย่างแท้จริง

4. ทางออกของปัญหา อาจเรียบง่ายแค่การเริ่มต้นที่ "คุณธรรม 4 ประการ" ในตัวเรา

 

ท่ามกลางปัญหาเชิงโครงสร้างมหภาคที่ดูใหญ่และซับซ้อน พล.อ. ดร. กิตติศักดิ์ กลับชี้ไปยังทางออกที่เล็กที่สุดแต่ทรงพลังที่สุด นั่นคือการกลับมาเริ่มต้นที่ "ตัวเราเอง" โดยยึดหลัก "คุณธรรม 4 ประการ" ตามพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติที่ทุกคนสามารถเข้าใจและนำไปใช้ได้ทันที

คุณธรรม 4 ประการ ประกอบด้วย
1. สัจจะ: ความจริงใจต่อตนเองและผู้อื่น
2. ธรรมะ: การรู้จักข่มใจตนเองไม่ให้ทำผิด
3. ขันติ: ความอดทนต่อความยากลำบาก ไม่ท้อถอย
4. จาคะ: การรู้จักเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อส่วนรวม

หลักการนี้ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดลอยๆ แต่เคยถูกรณรงค์อย่างเป็นรูปธรรมผ่าน "เพลงคุณธรรม 4 ประการ" ที่แต่งขึ้นในปี 2525 เพื่อปลูกฝังคุณค่าเหล่านี้ให้หยั่งรากลึกในสังคม พล.อ. ดร. กิตติศักดิ์ ยืนยันว่าหลักการเหล่านี้คือเคล็ดลับความสำเร็จในชีวิตราชการของท่าน

เป็นเครื่องมือในการบริหารตน บริหารคน และบริหารงาน ท่านย้ำว่าความพยายามใดๆ ในการแก้ไขเชิงโครงสร้างนั้น ล้วนแต่จะล่มสลายหากปราศจากรากฐานที่มั่นคงซึ่งก็คือความซื่อสัตย์สุจริตของแต่ละบุคคล
 
 


บทสรุป : จากการเดินทางสำรวจทั้ง 4 ประเด็น เราจะเห็นได้ว่า "ธรรมาภิบาล" ไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมาย โครงสร้าง หรือตัวชี้วัดที่ซับซ้อน แต่เป็นเรื่องที่หยั่งรากลึกอยู่ในวัฒนธรรม ความเข้าใจในรากเหง้าของตนเอง การบูรณาการความร่วมมือ


และที่สำคัญที่สุดคือการเริ่มต้นบ่มเพาะคุณธรรมจากภายในใจของแต่ละคนบทสนทนากับ พล.อ. ดร. กิตติศักดิ์ ทิ้งบทสรุปที่คมคายแต่เปี่ยมด้วยความหวังไว้ให้เรา: พลังในการฟื้นฟูสังคมไม่ได้อยู่เพียงในมือของคณะกรรมการหรือองค์กรใดๆ แต่อยู่ในการตัดสินใจที่เงียบงันแต่หนักแน่นของเราในทุกๆ วัน
 
 
"เมื่อศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ... แล้ววันนี้ เราได้เริ่มต้นสร้าง 'พลังธรรมาภิบาล' จากจุดเล็กๆ ในตัวเรา เพื่อเป็นสะพานเชื่อมศีลธรรมสู่การปฏิบัติจริงแล้วหรือยัง?"


เรียบเรียง/บทความโดย ครูพี่ลี ดลรวี ภัทรกุลพิมล
โปรดิวเซอร์ รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน

คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน รายการที่จะนำคุณไปสัมผัสกับ อัตลักษณ์ท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย เศรษฐกิจพอเพียง และแนวคิดดีๆ จากบุคคลต้นแบบ ปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อเป็นพลังสรรค์สร้าง คุณภาพชีวิตทีดี อย่างยั่งยืน

  • ออกอากาศทาง สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย วิทยุเพื่อการเรียนรู้และเตือนภัย ภาคกลาง AM 1467 KHz ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ
  • ออกอากาศทางช่องทาง Live Streaming ผ่าน Facebook Live "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ
  • สามารถมารับชมย้อนหลังผ่านทาง Youtube ช่อง "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ได้อีกช่องทางหนึ่ง...

เพจ & Youtube : รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน

เกี่ยวกับเรา : รายการ "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" เราคือใคร?

ป.ล. หากบทความนี้มีประโยชน์ ฝากช่วยกันแชร์ บทความนี้ส่งต่อๆ ออกไปสู่กลุ่มผู้คนวงกว้างให้ได้รับคุณประโยชน์... แบ่งปันความรู้ดีๆ กันนะครับ หนึ่งความรู้ หนึ่งความคิดดีๆ อาจจะเปลี่ยน ช่วยเหลือ ผู้คน และสังคมได้นะครับ และที่สำคัญสิ่งเล็กๆ ที่ท่านทำในวันนี้สามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดียิ่งขึ้นได้ ขอขอบคุณทุกท่านจากหัวใจ ไว้ ณ โอกาสนี้นะครับ... แล้วกลับมาพบกันใหม่ในบทความต่อๆไปนะครับผม ^_^

ความลับของ “ธรรมาภิบาล” ที่ตำราไม่เคยบอกคุณ

 


บทความนี้ผมได้สังเคราะห์ประเด็นสำคัญจากการเสวนาในหัวข้อ "พลังธรรมาภิบาล จากชุมชนสู่อนาคตชาติ" รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน ช่วงเสวนาแลกเปลี่ยน โดยมี พลเอก ดร. กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ เลขาธิการเครือข่ายธรรมาภิบาลแห่งชาติ เป็นวิทยากรหลัก ประเด็นสำคัญชี้ให้เห็นว่า
"ธรรมาภิบาล" ซึ่งมีรากฐานมาจาก "คุณธรรม" ส่วนบุคคล

คือหัวใจสำคัญในการแก้ไขปัญหาระดับชาติ โดยเฉพาะการทุจริตคอร์รัปชันที่เปรียบเสมือน "มะเร็งร้าย" ของสังคมไทย การขับเคลื่อนต้องเริ่มต้นจากระดับบุคคล ชุมชน และขยายผลสู่ระดับชาติ โดยยึดหลักธรรมาภิบาล 6 ประการ ได้แก่ คุณธรรม, นิติธรรม, ความโปร่งใส, การมีส่วนร่วม, ความรับผิดชอบ และความคุ้มค่า ซึ่งสอดคล้องกับหลัก "คุณธรรม 4 ประการ" ของในหลวงรัชกาลที่ 9

การเสวนาได้วิเคราะห์ถึงวิกฤตการณ์คอร์รัปชันเชิงโครงสร้างของไทย ซึ่งรวมถึงคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ที่อยู่ในระดับต่ำ, ปัญหาความซ้ำซ้อนและขาดการบูรณาการของหน่วยงานปราบปรามทุจริต, และความล้มเหลวในการผลักดัน "พระราชบัญญัติสภาธรรมาภิบาลแห่งชาติ" ให้เป็นกฎหมาย อย่างไรก็ตาม

เครือข่ายภาคประชาสังคมยังคงเดินหน้าผลักดันร่างกฎหมายฉบับใหม่และริเริ่มโครงการ "จังหวัดธรรมาภิบาล" โดยมีจังหวัดสงขลาเป็นจังหวัดนำร่อง เพื่อสร้างต้นแบบการเปลี่ยนแปลงจากฐานราก ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติเน้นย้ำถึงการปลูกฝังคุณธรรมให้แก่เยาวชน และการกลับไปสู่รากฐานทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยที่มีคุณค่าด้านประชาธิปไตยและระเบียบวินัยอยู่แล้ว แทนที่จะยึดติดกับแนวคิดตะวันตกเพียงอย่างเดียว

1. แนวคิดหลักและรากฐานของธรรมาภิบาล

ธรรมาภิบาลถูกนำเสนอในฐานะหัวใจของการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเป็นแนวคิดที่ใกล้ตัวและต้องเริ่มต้นจากระดับบุคคลก่อนขยายไปสู่สังคม พลเอก ดร. กิตติศักดิ์ ได้เน้นย้ำถึงหลักการสำคัญ 2 ส่วนที่เชื่อมโยงกัน

1.1 หลักธรรมาภิบาล 6 ประการ

นี่คือกรอบการดำเนินงานที่ถูกนำมาปรับใช้ในองค์กรต่างๆ ซึ่งเป็นหลักการสากลที่เครือข่ายฯ ยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติ

1.2 คุณธรรม 4 ประการ รากฐานของธรรมาภิบาล

พลเอก ดร. กิตติศักดิ์ ชี้ว่าแก่นแท้ของธรรมาภิบาลเริ่มต้นจาก "คุณธรรม" ของแต่ละบุคคล โดยอ้างอิงถึงพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่พระราชทานไว้เมื่อครั้งสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติที่เข้าใจง่ายและเป็นรูปธรรม

สัจจะ : การยึดมั่นในความจริงและความถูกต้อง เริ่มต้นจากการบริหารตนเอง

ทมะ : การรู้จักข่มใจตนเอง ฝึกฝนตนเองในการบริหารคน

ขันติ : ความอดทน อดกลั้น เพื่อให้การบริหารงานประสบความสำเร็จ

จาคะ : การเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

ท่านเน้นย้ำว่า "ต้องเริ่มจากตัวเราเอง" การปลูกฝังคุณธรรมเหล่านี้คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดของการสร้างสังคมธรรมาภิบาล

2. วิกฤตการณ์ทุจริตคอร์รัปชันและปัญหาเชิงโครงสร้าง

การเสวนาได้สะท้อนภาพปัญหาการทุจริตในประเทศไทยอย่างเข้มข้น โดยมองว่าเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดในการพัฒนาประเทศ

สถานการณ์คอร์รัปชัน : การทุจริตถูกเปรียบเทียบว่าเป็น "มะเร็งร้าย" ของสังคม มีการกล่าวถึงตัวเลขความเสียหายจากการคอร์รัปชันที่สูงถึง 5 แสนล้านบาทต่อปี

ดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) : คุณหมอ สมส่วน บูรณพงษ์ ได้กล่าวถึงคะแนน CPI ของไทยที่อยู่ในระดับต่ำ (34 คะแนน) และเพิ่งทราบจาก พลเอก ดร. กิตติศักดิ์ ว่าเคยมีช่วงที่คะแนนสูงขึ้นถึง 3.8 (จาก 10) หรือ 38% ในปี 2548, 2557 และ 2558 เพียง 3 ครั้งเท่านั้น

ความซ้ำซ้อนของหน่วยงานปราบปราม : มีการตั้งข้อสังเกตว่าประเทศไทยมีหน่วยงานด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมากเกินไป แต่ขาดการบูรณาการ ทำให้การทำงานสับสนและไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร

แรงจูงใจที่น่ากังขาขององค์กรภาคประชาสังคมบางแห่ง: พลเอก ดร. กิตติศักดิ์ ตั้งข้อสังเกตว่าองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันบางแห่ง ถูกจัดตั้งขึ้นโดยภาคธุรกิจ ไม่ใช่เพื่อต่อต้านการทุจริตอย่างแท้จริง แต่เพื่อเป็น "เครื่องมือต่อรอง" กับภาครัฐที่เรียกรับผลประโยชน์สูงเกินกว่าที่เคยจ่าย (จาก 10-20% เป็น 50-70%)

3. ความพยายามในการจัดตั้งสภาธรรมาภิบาลแห่งชาติ

ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือความพยายามในการจัดตั้งองค์กรอิสระเพื่อตรวจสอบและประเมินธรรมาภิบาลของหน่วยงานต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม

ความล้มเหลวครั้งแรก : มีความพยายามผลักดันร่าง "พระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการธรรมาภิบาลแห่งชาติ" ซึ่งมีเนื้อหาสำคัญคือการจัดตั้ง "สภาธรรมาภิบาลแห่งชาติ"

    ◦ ร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร

    ◦ อย่างไรก็ตาม เมื่อส่งให้นายกรัฐมนตรี พิจารณา กลับถูกปฏิเสธไม่รับหลักการ

ความพยายามครั้งใหม่ : หลังจากการผลักดันครั้งแรกไม่สำเร็จ เครือข่ายฯ ได้ดำเนินการยื่นร่างกฎหมายฉบับใหม่เข้าไปยังสภาฯอีกครั้ง โดยเปลี่ยนชื่อเป็น "พ.ร.บ. ว่าด้วยสภาธรรมาภิบาลแห่งชาติ" เพื่อให้มีความชัดเจนในเจตนารมณ์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการพิจารณาของสภาฯ

4. การขับเคลื่อนธรรมาภิบาลภาคปฏิบัติและการศึกษา

นอกจากการผลักดันเชิงนโยบายแล้ว การเสวนายังได้นำเสนอแนวทางการขับเคลื่อนในระดับพื้นที่และการปลูกฝังแนวคิดสู่คนรุ่นใหม่

4.1 โครงการ "จังหวัดธรรมาภิบาล"

เป็นยุทธศาสตร์การสร้างต้นแบบจากระดับพื้นที่ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยมีแผนการดำเนินงานดังนี้

จังหวัดนำร่อง : จังหวัดสงขลา ถูกกำหนดให้เป็นจังหวัดแรกของประเทศไทยที่จะประกาศเป็น "จังหวัดธรรมาภิบาล" โดยสามารถรวบรวมตัวแทนได้ครบทั้ง 16 อำเภอแล้ว

จังหวัดเป้าหมายถัดไป : จังหวัดนครสวรรค์ และ จังหวัดลพบุรี ถูกวางตัวให้เป็นจังหวัดลำดับต่อไปในการขับเคลื่อน

4.2 การปลูกฝังในระดับเยาวชนและสังคม

คุณชิดพล ปิ่นศิริ อาจารย์มหาวิทยาลัย ได้ขอคำแนะนำในการนำหลักธรรมาภิบาลไปปรับใช้สอนนิสิตนักศึกษา ซึ่ง พลเอก ดร. กิตติศักดิ์ ได้ให้แนวทางไว้ดังนี้

เริ่มต้นด้วยคุณธรรม : ต้องเริ่มสอนจาก คุณธรรม 4 ประการ ซึ่งเป็นรากฐานที่เข้าใจง่ายและนำไปปฏิบัติได้จริง

ใช้สื่อสร้างการรับรู้ : นำเพลง "คุณธรรม 4 ประการ" มาเผยแพร่ในสถานศึกษาและชุมชนเพื่อสร้างการจดจำและซึมซับ

เน้นการปฏิบัติ : ชี้ให้เห็นว่าการยึดมั่นในคุณธรรมนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิตได้จริง โดยยกตัวอย่างจากประสบการณ์ของตนเองที่รับราชการจนได้เป็นพลเอกและประสบความสำเร็จในโครงการต่างๆ เพราะยึดหลักการเหล่านี้

4.3 การกลับสู่รากฐานวัฒนธรรมไทย

พลเอก ดร. กิตติศักดิ์ ได้วิจารณ์แนวคิด "บ้าฝรั่ง" ที่มองว่าหลักการดีๆ ต้องมาจากตะวันตกเท่านั้น โดยชี้ให้เห็นว่าสังคมไทยมีรากฐานของประชาธิปไตยและระเบียบวินัยที่ดีงามอยู่แล้ว แต่กลับถูกมองข้าม

ตัวอย่างระเบียบวินัย : การเข้าคิวบิณฑบาตของพระสงฆ์ หรือการนั่งตามลำดับพรรษา ถือเป็นต้นแบบของระเบียบวินัยที่ลึกซึ้ง

ตัวอย่างประชาธิปไตย : พิธีทอดกฐิน ที่มีการเสนอชื่อผู้ที่เหมาะสมจะได้รับผ้ากฐิน และให้สงฆ์ทั้งปวงแสดงความเห็นชอบร่วมกัน ถือเป็นกระบวนการประชาธิปไตยแบบไทยที่มีมาแต่โบราณ

5. มุมมองจากภาคประชาสังคมและผู้ร่วมเสวนา

คุณหมอ สมส่วน บูรณพงษ์ (นายกสมาคมจิตอาสาองค์กรภาคประชาสังคมลพบุรี): เน้นย้ำว่าแนวคิดของภาคประชาสังคมมักจะคล้ายคลึงกัน คือ "เริ่มต้นที่ตัวเราเอง" และเห็นด้วยกับการขับเคลื่อนธรรมาภิบาลจากฐานราก ท่านยังได้แสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมเป็นภาคีเครือข่ายธรรมาภิบาลจังหวัดลพบุรี

คุณสิริน ชีพชัยอิสสระ (อดีตกรรมการหอการค้า จ.สงขลา): ชี้ว่าภาคเอกชนมีการใช้หลัก ESG (Environment, Social, Governance) ซึ่งสอดคล้องกับธรรมาภิบาลอยู่แล้ว ท่านเน้นย้ำถึงความสำคัญของ "ความคุ้มค่า" ในการใช้งบประมาณภาครัฐ และมองว่าการใช้จ่ายอย่างไม่คุ้มค่าคือสาเหตุที่ทำให้คนรุ่นใหม่สิ้นหวัง ท่านเสนอให้ใช้ Soft Power และการลงทุนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Up-skill, Re-skill) เป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงประเทศ

คุณทรงวุฒิ (รองเลขาธิการเครือข่ายฯ): เป็นบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการทำงานภาคปฏิบัติของเครือข่ายฯ มาเกือบ 10 ปี โดยดูแลด้านเอกสาร เว็บไซต์ และการจัดกิจกรรมต่างๆ และเป็นผู้ที่ทำให้การขับเคลื่อนธรรมาภิบาลดำเนินต่อไปได้หลังจากที่หลายคนถอดใจ

รายการ "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" : ถูกกล่าวถึงในฐานะสื่อกลางของภาคประชาสังคมที่สร้างสรรค์และมีคุณค่า แต่กำลังเผชิญกับปัญหาด้านงบประมาณ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของการทำงานภาคประชาสังคมในภาพรวม

บทความที่ได้รับความนิยม