สร้างเมืองสีเขียวด้วยหัวใจพอเพียง | คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน EP.107

 


เรื่องราวของคุณ สศิดา อาจด่อน หรือ "พี่หลิน" เป็นตัวอย่างอันทรงพลังของการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นจากคนตัวเล็กๆ ด้วยหัวใจที่มุ่งมั่นและจิตอาสา เธอได้แสดงให้เห็นว่าภาวะผู้นำที่แท้จริงไม่ได้มาจากตำแหน่ง แต่มาจากความตั้งใจจะลงมือทำเพื่อส่วนรวม จากพื้นที่ปูนริมคลองที่เคยว่างเปล่า วันนี้ได้กลายเป็นพื้นที่สีเขียวที่กินได้ตลอดแนวราวกันตกยาวหลายร้อยเมตร สวนผักแนวตั้งไม่เพียงสร้างความสวยงาม แต่ยังสะท้อนถึงความมั่นคงทางอาหารและการปฏิบัติหลักเศรษฐกิจพอเพียงในบริบทเมืองอย่างจับต้องได้



จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงมาจากเรื่องเล็กๆ ใกล้ตัว พี่หลิน สศิดา อาจด่อน เริ่มต้นจากการปลูกผักหน้าบ้านเพื่อลดค่าใช้จ่ายครัวเรือน หลังจากนั้นเธอได้นำความรู้ที่สะสมจากการเป็นแม่บ้านและครูภูมิปัญญาท้องถิ่น มาประยุกต์ใช้สร้างความร่วมมือในชุมชน ความสำเร็จเล็กๆ กลายเป็นแรงผลักดันให้เกิดโครงการใหญ่ขึ้น ตั้งแต่การสร้างสวนผักแนวตั้งบนราวกันตก การขยายแปลงเพาะปลูก ไปจนถึงการจัดการน้ำและติดตั้งเครื่องสูบน้ำโซลาร์เซลล์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความยั่งยืน



หัวใจของความสำเร็จอยู่ที่การนำแนวคิด "ความพอเพียง" มาปฏิบัติจริง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด การสร้างอัตลักษณ์ด้วยสีชมพูบนราวกันตกที่สะท้อนพลังผู้หญิง การแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ และการบริหารจัดการเชิงปรับตัว ชุมชนไม่ได้ยึดติดกับแผนการที่ตายตัว แต่เรียนรู้และปรับใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ



พี่หลิน สศิดา ไม่ได้หยุดอยู่เพียงมิติสิ่งแวดล้อม เธอยกระดับการพัฒนาไปสู่การสร้างชุมชนที่เข้มแข็งรอบด้าน เช่น การจัดการขยะอย่างเป็นระบบ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก และการดูแลเยาวชนผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์ ทั้งหมดนี้ช่วยหล่อหลอมให้ชุมชนคลองบางน้อยเป็นชุมชนที่น่าอยู่ แข็งแรง และมีส่วนร่วมของทุกคน



ผลลัพธ์ของความมุ่งมั่นเหล่านี้สะท้อนผ่านรางวัลและการยอมรับหลายด้าน เช่น รางวัลรองชนะเลิศ "ร่วมด้วยช่วยปลูก" โครงการ "สวนชุมชนดีเด่น" และการคัดเลือกเข้าประกวดโครงการ "ชุมชนริมคลอง น่ามอง น่าอยู่" รวมถึงการเสนอชื่อเป็น "ปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน" วิสัยทัศน์ต่อไปของเธอคือการพัฒนาชุมชนคลองบางน้อยให้เป็นชุมชนท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพื่อสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจควบคู่กับสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงทางอาหาร



เรื่องราวของ พี่หลิน สศิดา อาจด่อน สะท้อนบทเรียนสำคัญสำหรับผู้นำชุมชนและนักพัฒนาที่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน คือการเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ ใกล้ตัว การยึดมั่นในหลักพึ่งพาตนเอง และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ โดยมีรากฐานอยู่ที่ความจริงใจและความตั้งมั่นในการทำเพื่อส่วนรวม ซึ่งสะท้อนถึงพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรฯ ที่ว่า ผู้ที่มีความสุจริตและความมุ่งมั่นเท่านั้นจึงจะทำงานสำคัญยิ่งใหญ่ให้สำเร็จได้ เรื่องราวของพี่หลินจึงเป็นตัวอย่างของผู้หญิงธรรมดาที่ใช้หัวใจแม่และหัวใจพอเพียงพลิกฟื้นชุมชนเล็กๆ ให้กลายเป็นต้นแบบการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างภาคภูมิใจ


รายการ คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน EP.107 | สร้างเมืองสีเขียวด้วยหัวใจพอเพียง

สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เพื่อการเรียนรู้และเตือนภัย ภาคกลาง AM 1467 KHz ออกอากาศ ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และรับชมย้อนหลังผ่านทาง Youtube ช่อง "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ได้อีกช่องทางหนึ่ง...

 

บทความโดย ครูพี่ลี ดลรวี ภัทรกุลพิมล
โปรดิวเซอร์ รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน

คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน รายการที่จะนำคุณไปสัมผัสกับ อัตลักษณ์ท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย เศรษฐกิจพอเพียง และแนวคิดดีๆ จากบุคคลต้นแบบ ปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อเป็นพลังสรรค์สร้าง คุณภาพชีวิตทีดี อย่างยั่งยืน

  • ออกอากาศทาง สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย วิทยุเพื่อการเรียนรู้และเตือนภัย ภาคกลาง AM 1467 KHz ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ
  • ออกอากาศทางช่องทาง Live Streaming ผ่าน Facebook Live "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ
  • สามารถมารับชมย้อนหลังผ่านทาง Youtube ช่อง "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ได้อีกช่องทางหนึ่ง...

เพจ & Youtube : รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน

เกี่ยวกับเรา : รายการ "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" เราคือใคร?

ป.ล. หากบทความนี้มีประโยชน์ ฝากช่วยกันแชร์ บทความนี้ส่งต่อๆ ออกไปสู่กลุ่มผู้คนวงกว้างให้ได้รับคุณประโยชน์... แบ่งปันความรู้ดีๆ กันนะครับ หนึ่งความรู้ หนึ่งความคิดดีๆ อาจจะเปลี่ยน ช่วยเหลือ ผู้คน และสังคมได้นะครับ และที่สำคัญสิ่งเล็กๆ ที่ท่านทำในวันนี้สามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดียิ่งขึ้นได้ ขอขอบคุณทุกท่านจากหัวใจ ไว้ ณ โอกาสนี้นะครับ... แล้วกลับมาพบกันใหม่ในบทความต่อๆไปนะครับผม ^_^

สวนแนวตั้งกลางใจเมือง - เรื่องเล่าจากชุมชนคลองบางน้อย

 

ท่ามกลางวิถีชีวิตที่ผูกพันกับสายน้ำ ชุมชนคลองบางน้อยอาจดูเหมือนชุมชนริมคลองทั่วไป แต่ที่นี่มีหัวใจดวงเล็กๆ ที่กำลังเติบโตในแนวตั้ง เรื่องราวทั้งหมดนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยพลังของผู้หญิงคนหนึ่ง คุณพี่หลิน สศิดา อาจด่อน ประธานชุมชนผู้ทุ่มเททำงานเพื่อส่วนรวมมาถึง 3 สมัย โครงการ "สวนแนวตั้ง" ที่พี่หลินดูแล ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่สีเขียว แต่คือเครื่องพิสูจน์ถึงความตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะสร้างความอยู่ดีกินดีและส่งเสริมสุขภาพให้กับทุกคน แม้จะต้องเผชิญกับข้อจำกัดก็ตาม...

 

เรื่องราวของสวนแห่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงพลังของความร่วมมือและความคิดสร้างสรรค์ เรามาลองติดตามกันว่าอะไรคือจุดเริ่มต้นและแรงผลักดันที่ทำให้สวนแห่งนี้งอกงามขึ้นกลางใจชุมชน

จุดเริ่มต้น เมื่อพื้นที่จำกัด...แต่ใจไม่จำกัด

สำหรับ พี่หลิน สศิดา อาจด่อน ความท้าทายอันดับแรกของชุมชนคลองบางน้อยคือ "พื้นที่ชุมชนมีน้อยมาก" ข้อจำกัดนี้อาจเป็นอุปสรรคที่น่าท้อใจ แต่สำหรับที่นี่ มันกลับกลายเป็นจุดประกายให้เกิดทางออกที่สร้างสรรค์ นั่นคือ "สวนแนวตั้ง" ซึ่งเป็นการพลิกโฉมการใช้พื้นที่ในแนวสูงให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทำให้สามารถปลูกพืชผักสวนครัวได้โดยไม่ต้องพึ่งพาที่ดินผืนใหญ่

สวนแนวตั้งจึงไม่ใช่แค่คำตอบสำหรับปัญหาเรื่องพื้นที่ แต่เป็นสัญลักษณ์ของวิธีคิดที่ไม่ยอมจำนนต่อข้อจำกัด และคือหัวใจของความพยายามที่จะเปลี่ยนอุปสรรคให้กลายเป็นโอกาสในการพัฒนาชุมชน

แต่สวนแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวเท่านั้น แต่ยังได้กลายเป็นคลังอาหารที่สำคัญของทุกคนในชุมชนอีกด้วย

ผลผลิตแห่งความใส่ใจ จากสวนสู่จานอาหารของชุมชน

ผลผลิตจากสวนแนวตั้งแห่งนี้ คือพืชผักสวนครัวที่คัดเลือกมาอย่างดีเพื่อตอบสนองความต้องการของคนในชุมชนโดยตรง

คะน้า กะเพรา โหระพา คือกลุ่มผักที่ชาวบ้านมีความต้องการสูงและใช้ประกอบอาหารในชีวิตประจำวันเป็นประจำ ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้จึงถูกนำไปแจกจ่ายให้กับคนในชุมชนเป็นหลัก เพื่อให้ทุกคนได้มีผักที่สดใหม่และปลอดภัยไว้รับประทาน

ในระยะแรกเริ่ม โครงการเคยนำผลผลิตบางส่วนออกไปจำหน่ายที่ตลาด แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความต้องการบริโภคผักปลอดสารพิษของคนในชุมชนกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน นี่คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญซึ่งสะท้อนความสำเร็จของโครงการได้อย่างแท้จริง โครงการได้ปรับเปลี่ยนจากการเป็นเพียงแหล่งผลิตเพื่อจำหน่าย สู่การเป็นเสาหลักด้านความมั่นคงทางอาหารของชุมชนอย่างเต็มตัว ตอบสนองความต้องการจากภายในก่อนเป็นอันดับแรก

ความสำเร็จนี้ไม่ได้ทำให้โครงการหยุดนิ่ง แต่กลับเป็นแรงผลักดันให้เกิดกิจกรรมใหม่ๆ และการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง


 

สวนที่ไม่เคยว่างเปล่า กิจกรรมสานสัมพันธ์และอนาคต

แม้จะเพิ่งเก็บเกี่ยวผลผลิตคะน้าไปเมื่อ 4-5 สัปดาห์ก่อน แต่พื้นที่ในกระถางก็ไม่เคยถูกปล่อยให้รกร้าง เพราะดังที่พี่หลิน สศิดา กล่าวไว้ว่า "เราไม่อยากให้กระถางเขาว่างเปล่า" ปัจจุบันจึงมีการนำไม้ประดับมาลงไว้ชั่วคราว การกระทำเล็กๆ น้อยๆ นี้สะท้อนปรัชญาที่ลึกซึ้งของโครงการ ที่ว่าทุกพื้นที่ไม่ว่าจะเล็กเพียงใดล้วนมีศักยภาพและไม่ควรถูกละเลย มันคือสัญลักษณ์ของความใส่ใจและความต่อเนื่องที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ขณะเดียวกันก็กำลังเพาะกล้าผักรุ่นใหม่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับกิจกรรมสำคัญที่กำลังจะมาถึง


 

กิจกรรมนี้ไม่เพียงจะเติมเต็มสวนให้กลับมาเขียวขจี แต่ยังเป็นโอกาสในการกระชับความสัมพันธ์อันดีของคนในชุมชนและหน่วยงานพันธมิตร

วิสัยทัศน์ที่กว้างไกล จากสวนผักสู่เส้นทางอาหารที่มั่นคง

โครงการสวนแนวตั้งไม่ได้จบลงแค่การปลูกผัก แต่เชื่อมโยงไปสู่วิสัยทัศน์ด้านสุขภาพที่กว้างไกลกว่านั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและส่งเสริมโภชนาการที่ถูกต้องให้กับทุกคน

  1. อาหารสมดุล (211): นอกจากการปลูกผักแล้ว พี่หลิน สศิดายังส่งเสริมความรู้เรื่อง "อาหารสมดุล" หรือหลักการกินอาหารแบบ "211" ซึ่งตามคำอธิบายของเธอคือการเน้น ผัก 2 ส่วน ควบคู่ไปกับโปรตีนและเนื้อสัตว์อีก 1 ส่วน เพื่อให้คนในชุมชนเข้าใจหลักการบริโภคที่เรียบง่ายแต่ส่งเสริมสุขภาพ
  2. เส้นทางอาหารมั่นคง: ชุมชนได้ร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในการสร้าง "เส้นทางอาหารมั่นคง" โดยมีหัวใจสำคัญคือการ ปลูกผักที่ปลอดสารเคมี เพื่อรับประกันว่าอาหารทุกคำที่มาจากสวนแห่งนี้ ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพอย่างแท้จริง

ความพยายามทั้งหมดนี้ล้วนมีจุดเริ่มต้นจากความรักและความห่วงใยที่พี่หลิน สศิดา อาจด่อน มีต่อเพื่อนบ้านและคนในชุมชนของเธอ

เรื่องราวของสวนแนวตั้ง ณ ชุมชนคลองบางน้อย คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนของจิตวิญญาณแห่งการไม่ยอมแพ้ และความใส่ใจในคุณภาพชีวิตของส่วนรวม จากพื้นที่ที่เคยถูกจำกัด ได้กลายเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ แหล่งเรียนรู้ด้านสุขภาพ และศูนย์กลางของกิจกรรมที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าไว้ด้วยกันด้วยความรัก พี่หลิน สศิดา ได้ฝากคำเชิญชวนที่อบอุ่นถึงผู้ที่สนใจ หากใครต้องการเรียนรู้หรือสัมผัสกับพลังของชุมชนแห่งนี้ด้วยตนเอง ก็สามารถแวะเข้ามาเยี่ยมชมได้เสมอที่ "ชุมชนคลองบางน้อย เขตตลิ่งชัน"

 


 

บทสรุป 4 บทเรียนน่าทึ่งจาก 'สวนแนวตั้ง'
ชุมชนเล็กๆ ในกรุงเทพฯ ที่เปลี่ยนวิธีคิดเรื่องอาหารในเมือง

การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ บางครั้งการหาผักสดๆ ที่สะอาดและปลอดภัยมารับประทานก็ดูเป็นเรื่องท้าทาย เรามักคุ้นชินกับการพึ่งพาซูเปอร์มาร์เก็ตหรือตลาดสด แต่ใครจะคิดว่าในมุมเล็กๆ ของชุมชนริมคลองอย่าง "ชุมชนคลองบางน้อย" ในเขตตลิ่งชัน จะมีคำตอบที่น่าทึ่งซ่อนอยู่ ตัวผมเองได้พบกับสวนผักแนวตั้งที่ไม่ได้เป็นแค่แปลงเกษตร แต่เป็นศูนย์รวมจิตใจและเป็นต้นแบบที่ทรงพลัง ที่นี่ได้มอบบทเรียนสำคัญ 4 ข้อที่เปลี่ยนมุมมองของเราต่อเรื่องอาหาร สุขภาพ และพลังของชุมชนไปอย่างสิ้นเชิง

1.เมื่อผลผลิตไม่ใช่เพื่อขาย แต่เพื่อคนในชุมชนเป็นอันดับแรก

ตอนแรกผมคิดว่าสวนผักแห่งนี้คงเหมือนโครงการอื่นๆ ที่ปลูกเพื่อสร้างรายได้ แต่ความจริงกลับน่าประหลาดใจกว่านั้น เดิมทีสวนแห่งนี้เคยนำผลผลิตไปขายที่ตลาด แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความต้องการผักสดปลอดภัยจากคนในชุมชนกลับมีสูงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้พวกเขาตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายหลัก จากการค้าขายมาสู่การ "แจกจ่าย" ให้คนในชุมชนเป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะเป็นคะน้า กะเพรา หรือโหระพา ก็ล้วนถูกส่งตรงถึงเพื่อนบ้านก่อนใคร

การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนแนวคิดที่ลึกซึ้ง มันคือการเปลี่ยนจากกรอบความคิดเชิงพาณิชย์มาสู่โมเดลที่ยึดประโยชน์ของชุมชนเป็นหัวใจ คือการให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของเพื่อนบ้านมากกว่าผลกำไร นี่คือสิ่งที่ทำให้สวนแห่งนี้พิเศษอย่างแท้จริง

พี่หลิน สศิดา อาจด่อน ประธานชุมชน ได้สรุปปรัชญาเบื้องหลังเรื่องนี้ไว้อย่างเรียบง่ายแต่ทรงพลังว่า

"ผลผลิตที่เราได้มา ส่วนใหญ่ก็จะเป็นให้ประชาชนในชุมชนได้รับประทาน...เมื่อความต้องการของในชุมชนเรามีเพิ่มขึ้น เราก็เลยมีการแจกจ่ายให้คนในชุมชนของเราเป็นหลัก"


 

2. สวนผักเป็นแค่จุดเริ่มต้น ไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย

สวนผักแนวตั้งที่เห็นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพที่ใหญ่กว่ามาก ที่นี่ไม่ได้หยุดแค่การปลูกผัก แต่ใช้สวนแห่งนี้เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนให้ดีขึ้นอย่างเป็นองค์รวม โดยมีโครงการอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกันอย่างน่าสนใจ

  • เส้นทางอาหารมั่นคง เป็นโครงการที่ร่วมมือกับสำนักงานของ กทม. เพื่อส่งเสริมการปลูกผักที่ปลอดสารเคมี สร้างหลักประกันว่าทุกคนจะเข้าถึงอาหารที่ปลอดภัย
  • อาหารสมดุล พี่หลิน สศิดา อาจด่อน ซึ่งเป็นประธานชุมชนเองยังลงมือสอนให้ความรู้แก่ชาวบ้านเกี่ยวกับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยใช้โมเดล "211" ที่เข้าใจง่าย คือ ทานผัก 2 ส่วน ต่อโปรตีนหรือเนื้อสัตว์ 1 ส่วน

จะเห็นได้ว่าสวนผักแห่งนี้ไม่ใช่โครงการที่ทำแล้วจบไป แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การสร้างความรู้และความตระหนักรู้ด้านสุขภาพอย่างยั่งยืน

3. ความงามที่ไม่ปล่อยให้ว่างเปล่า การจัดการพื้นที่อย่างสร้างสรรค์

สิ่งที่น่าประทับใจอีกอย่างคือความคิดสร้างสรรค์ในการจัดการพื้นที่ของชุมชนแห่งนี้ หลังจากที่เพิ่งเก็บเกี่ยวคะน้าชุดใหญ่ไปเมื่อ 4-5 สัปดาห์ก่อน แทนที่จะปล่อยให้กระถางว่างเปล่ารอการปลูกครั้งต่อไป พวกเขากลับนำไม้ประดับสวยงามมาปลูกไว้ชั่วคราว

แม้จะเป็นรายละเอียดเล็กๆ แต่มันสะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจ ความรักในพื้นที่ และความต้องการที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่สวยงามมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ เป็นสัญลักษณ์ว่าชุมชนแห่งนี้ไม่เคยหยุดนิ่ง แม้ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านที่กำลังเพาะต้นกล้าชุดใหม่เพื่อเตรียมสำหรับกิจกรรมครั้งต่อไปก็ตาม

4. พลังของการร่วมมือ จากชุมชนสู่งานกิจกรรมใหญ่

โครงการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากคนเพียงคนเดียว แต่ขับเคลื่อนด้วยพลังของการร่วมมือจากหลายภาคส่วน ซึ่งพิสูจน์ได้จากกิจกรรม "ปลูกผักเพราะรักแม่" ที่เกิดขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งเป็นกิจกรรมจิตอาสาที่เปิดกว้างให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วม

ความร่วมมือนี้ขยายวงกว้างออกไปไกลกว่าแค่คนในชุมชน โดยมีพันธมิตรที่เข้าร่วมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐอย่าง สน.บางเสาธง และสำนักงานแขวงบางเชือกหนัง ไปจนถึงชุมชนข้างเคียงและชาวบ้านที่สนใจ นี่คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่าสวนผักเล็กๆ แห่งนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางที่เชื่อมโยงผู้คนและสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้

 



เรื่องราวของสวนแนวตั้งชุมชนคลองบางน้อยพิสูจน์ให้เห็นว่า ข้อจำกัดด้านพื้นที่ในเมืองไม่ใช่ปัญหา หากเรามีความตั้งใจและความคิดสร้างสรรค์ ที่นี่เป็นมากกว่าสวนผัก แต่เป็นต้นแบบของการสร้างความมั่นคงทางอาหาร การส่งเสริมสุขภาพ และการถักทอสายใยความสัมพันธ์ของผู้คนให้แน่นแฟ้นขึ้น

โครงการเล็กๆ ในชุมชนคลองบางน้อยได้แสดงให้เราเห็นแล้วว่าพื้นที่ว่างเพียงน้อยนิดก็สร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ คำถามคือ...เราจะมองเห็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในพื้นที่ว่างของชุมชนเราเองได้อย่างไร?


บทความโดย ครูพี่ลี ดลรวี ภัทรกุลพิมล
โปรดิวเซอร์ รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน

คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน รายการที่จะนำคุณไปสัมผัสกับ อัตลักษณ์ท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย เศรษฐกิจพอเพียง และแนวคิดดีๆ จากบุคคลต้นแบบ ปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อเป็นพลังสรรค์สร้าง คุณภาพชีวิตทีดี อย่างยั่งยืน

  • ออกอากาศทาง สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย วิทยุเพื่อการเรียนรู้และเตือนภัย ภาคกลาง AM 1467 KHz ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ
  • ออกอากาศทางช่องทาง Live Streaming ผ่าน Facebook Live "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ
  • สามารถมารับชมย้อนหลังผ่านทาง Youtube ช่อง "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ได้อีกช่องทางหนึ่ง...

เพจ & Youtube : รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน

เกี่ยวกับเรา : รายการ "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" พวกเราคือใคร?

ป.ล. หากบทความนี้มีประโยชน์ ฝากช่วยกันแชร์ บทความนี้ส่งต่อๆ ออกไปสู่กลุ่มผู้คนวงกว้างให้ได้รับคุณประโยชน์... แบ่งปันความรู้ดีๆ กันนะครับ หนึ่งความรู้ หนึ่งความคิดดีๆ อาจจะเปลี่ยน ช่วยเหลือ ผู้คน และสังคมได้นะครับ และที่สำคัญสิ่งเล็กๆ ที่ท่านทำในวันนี้สามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดียิ่งขึ้นได้ ขอขอบคุณทุกท่านจากหัวใจ ไว้ ณ โอกาสนี้นะครับ... แล้วกลับมาพบกันใหม่ในบทความต่อๆไปนะครับผม ^_^

พิชิตความกลัวด้วยการเห็นอนาคต


 พิชิตความกลัวด้วยการเห็นอนาคต
เมื่อภาพที่ยังไม่ชัดเจน คือรากเหง้าของความกลัวในชีวิตเรา

 

 1. ความกลัวเกิดจาก “ภาพที่ว่างเปล่า”

หลายครั้งเรากลัวอนาคตเพราะ… เราไม่รู้ว่ามันหน้าตาเป็นอย่างไร

  • กลัวงานใหม่ เพราะไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่
  • กลัวเริ่มธุรกิจ เพราะไม่รู้ว่าจะรอดหรือเจ๊ง
  • กลัวความรัก เพราะไม่รู้จะเจ็บอีกไหม


สังเกตมั้ยครับว่า สิ่งที่เรากลัวมักไม่ใช่ “เรื่องจริง” แต่เป็น “ช่องว่าง” ระหว่าง วันนี้ กับ อนาคตที่เรามองไม่ออก เหมือนการเดินในห้องมืด — เราไม่ได้กลัวห้อง แต่กลัว “สิ่งที่อาจอยู่ในนั้น”

ถ้าเรา “เปิดไฟ” หรือสร้างภาพในหัวให้ชัด ความกลัวจะลดลงทันที

2. ทำไมเรามองไม่เห็นอนาคตของตัวเอง?

งานวิจัยจาก UCLA ชี้ว่า สมองมอง “ตัวเองในอนาคต” เป็น คนแปลกหน้า

  • เลยไม่อินกับการออมเงิน ทั้งที่รู้ว่าต้องใช้ตอนแก่
  • เลยไม่ออกกำลังกาย ทั้งที่รู้ว่าร่างกายในอนาคตจะขอบคุณ
  • เลยไม่เรียนรู้เพิ่ม ทั้งที่รู้ว่ามันช่วยงานได้

เพราะสมองไม่รู้สึกว่า “เขาคือเรา”

เราลองมายกตัวอย่างชีวิตจริงกันครั

  • คนจำนวนมากทำงานเครียดทุกวัน แต่บอกกับตัวเองว่า “เดี๋ยวค่อยพักตอนเกษียณ” ทั้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีแรงถึงวันนั้นไหม
  • บางคนไม่ออมเงิน เพราะ “เดี๋ยวอนาคตค่อยว่ากัน” แต่พอถึงวัย 50–60 ปี ก็พบว่าไม่มีอะไรเป็นหลักให้ยึด

นี่คือเหตุผลว่าทำไมการเชื่อมโยงกับ “ตัวเองในอนาคต” จึงสำคัญ

3. การเห็นอนาคตทำให้ตัดสินใจง่ายขึ้น

เมื่อเราสร้างภาพอนาคตได้ สมองจะเชื่อมโยงกับเขาเหมือนคนรู้จัก ผลที่เกิดขึ้นคือ

  • ตัดสินใจเลือกสิ่งที่ “เป็นประโยชน์ต่ออนาคต” ได้ง่ายขึ้น
  • ไม่ยอมแพ้ง่าย เพราะรู้ว่ากำลังทำเพื่อตัวเองในวันข้างหน้า


เรามาลองดูตัวอย่างใกล้ตัวกันครับ
ลองคิดถึง “ตัวเองตอนอายุ 65” ที่ยังแข็งแรงไปเที่ยวรอบโลกกับคนที่รัก

  • ภาพนี้จะทำให้คุณอยากกินผักมากกว่าฟาสต์ฟู้ด
  • ภาพนี้จะทำให้คุณอยากเก็บเงิน มากกว่าซื้อของฟุ่มเฟือยทุกสัปดาห์

นี่คือพลังของ “การเห็นอนาคต”

4. เทคนิคเชื่อมต่อกับตัวเองในอนาคต


1. บทสนทนาในใจ
   ลองถามว่า “ฉันในอีก 10 ปี อยากขอบคุณอะไรที่ฉันทำในวันนี้?”
   แค่คำถามนี้ คำตอบก็จะชัดว่าคุณควรทำอะไรตอนนี้

2. เขียนจดหมายจากอนาคต
   จินตนาการว่าคุณอายุ 60 แล้ว เขียนจดหมายถึงตัวเองตอนนี้ บอกว่า “ดีใจที่เธอ…” หรือ “เสียดายที่เธอไม่…” → จะเห็นชัดว่าควรเลือกอะไร

3. ใช้ภาพช่วย
   แอปฯ ที่จำลองหน้าแก่ ไม่ได้มีไว้เล่นขำ ๆ อย่างเดียว แต่มันทำให้สมองเชื่อมโยงว่า “นี่แหละคือตัวเราในอนาคตจริง ๆ”

5. ตัวตนสองมิติ ปัจจุบัน vs อดีต

Daniel Kahneman บอกว่าเรามี 2 ตัวตน

  • Experiencing Self = ตัวเราที่หาความสุขเดี๋ยวนี้ เช่น กาแฟแก้วละ 80 บาท
  • Remembering Self = ตัวเราที่เก็บความทรงจำและใช้มันมาตัดสิน เช่น “ปีนี้ชีวิตฉันดีไหม?”


ปัญหาคือ…

  • ถ้าอยู่แต่กับปัจจุบัน จะใช้ชีวิตแบบสั้น ๆ ไม่สนอนาคต
  • ถ้าอยู่แต่กับอดีต จะจมกับความเสียใจและไม่กล้าก้าวต่อ


ทางออกคือ “ใช้ทั้งสองเป็นสะพานไปหาอนาคต”

  • ใช้ความสุขเล็ก ๆ ตอนนี้เป็นแรงเติมไฟ
  • ใช้บทเรียนจากอดีตเป็นภูมิคุ้มกัน
  • แล้วเอาสองสิ่งนี้ส่งต่อให้ ตัวเองในอนาคต


6. การออกแบบชีวิต = สูตรลับขจัดความกลัว


การเห็นอนาคตไม่ใช่แค่ฝัน แต่คือการ “ออกแบบชีวิต”

  • ถ้าอยากมีสุขภาพดีในวัย 60 → วันนี้ต้องเริ่มวิ่งหรือนอนให้พอ
  • ถ้าอยากไม่กังวลเรื่องเงิน → วันนี้ต้องเริ่มวางระบบการเงิน
  • ถ้าอยากไม่เสียใจกับคนรอบตัว → วันนี้ต้องให้เวลาคนสำคัญ

ทุกการกระทำเล็ก ๆ จะกลายเป็น “สะพาน” เชื่อมไปหาตัวตนที่คุณอยากเป็น

โดยสรุปแล้ว

ความกลัวส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากความจริง แต่เกิดจาก ความไม่รู้ว่าปลายทางจะเป็นอย่างไร
เมื่อคุณสร้าง “ภาพอนาคต” ที่ชัดเจน คุณจะไม่ใช่แค่ก้าวพ้นความกลัว แต่ยังกลายเป็นคนที่

  • ตัดสินใจได้ดีขึ้น
  • มีวินัยมากขึ้น
  • และใช้ชีวิตวันนี้ด้วยความสุขที่มีความหมาย

เริ่มเลยตอนนี้
ลองเขียนบนกระดาษว่า “ในอีก 10 ปี ฉันอยากขอบคุณอะไรที่ฉันทำในวันนี้” แล้วลงมือทำอย่างน้อย 1 อย่าง ที่จะทำให้อนาคตนั้นเกิดขึ้นจริง แล้วอย่าลืม...เล่าสู่กันฟังนะครับ...

บทความโดย ครูพี่ลี ดลรวี ภัทรกุลพิมล
โปรดิวเซอร์ รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน

คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน รายการที่จะนำคุณไปสัมผัสกับ อัตลักษณ์ท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย เศรษฐกิจพอเพียง และแนวคิดดีๆ จากบุคคลต้นแบบ ปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อเป็นพลังสรรค์สร้าง คุณภาพชีวิตทีดี อย่างยั่งยืน

  • ออกอากาศทาง สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย วิทยุเพื่อการเรียนรู้และเตือนภัย ภาคกลาง AM 1467 KHz ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ
  • ออกอากาศทางช่องทาง Live Streaming ผ่าน Facebook Live "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ
  • สามารถมารับชมย้อนหลังผ่านทาง Youtube ช่อง "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ได้อีกช่องทางหนึ่ง...

เพจ & Youtube : รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน

เกี่ยวกับเรา : รายการ "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" พวกเราคือใคร?

ป.ล. หากบทความนี้มีประโยชน์ ฝากช่วยกันแชร์ บทความนี้ส่งต่อๆ ออกไปสู่กลุ่มผู้คนวงกว้างให้ได้รับคุณประโยชน์... แบ่งปันความรู้ดีๆ กันนะครับ หนึ่งความรู้ หนึ่งความคิดดีๆ อาจจะเปลี่ยน ช่วยเหลือ ผู้คน และสังคมได้นะครับ และที่สำคัญสิ่งเล็กๆ ที่ท่านทำในวันนี้สามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดียิ่งขึ้นได้ ขอขอบคุณทุกท่านจากหัวใจ ไว้ ณ โอกาสนี้นะครับ... แล้วกลับมาพบกันใหม่ในบทความต่อๆไปนะครับผม ^_^

ล้วงลึกคอร์รัปชัน บทสรุปถอดรหัสวิถีปราบโกง พลิกเกมสู่สังคมโปร่งใส | สังคมสุจริต ต้านคอร์รัปชัน ตอน 29

บทความนี้รวบรวมบทสรุปจาก Dolravee Slow Life Investor สังคมสุจริต ต้านคอร์รัปชัน ทั้งหมด 29 ตอน ที่สำรวจปัญหาการทุจริต (corruption) ในมิติต่าง ๆ — ทั้งเชิงประวัติศาสตร์ สังคม เศรษฐกิจ การเมือง และการเปลี่ยนแปลงเมื่อโลกเข้าสู่ยุคดิจิทัล บทความเน้นย้ำว่าการทุจริตเป็นปัญหาซับซ้อนฝังรากลึก ต้องการการแก้ไขแบบองค์รวมทั้งระดับนโยบาย สถาบัน และพฤติกรรมของพลเมืองนะครับ...

1. การนิยามและประเภทของการทุจริต

การทุจริตไม่ได้หมายถึงการติดสินบนเพียงอย่างเดียว แต่ครอบคลุมพฤติกรรมผิดทั้งทางกฎหมายและจริยธรรม เช่น

  • การทุจริตระดับสูง (Grand Corruption) : เจ้าหน้าที่ระดับสูงใช้ตำแหน่งเพื่อผลประโยชน์มหาศาล ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจและระบบการปกครอง
  • การทุจริตเล็กน้อย (Petty Corruption) : ข้อเสนอสินบน/ค่าบริการพิเศษจากเจ้าหน้าที่ล่างเพื่อให้บริการรวดเร็วขึ้น
  • การทุจริตทางการเมือง : ซื้อเสียง อุปถัมภ์ การใช้ทรัพยากรรัฐหาเสียง
  • การทุจริตในราชการและภาคธุรกิจ : Nepotism, cronyism, การยักยอก, insider trading
  • การทุจริตทางศาลและตำรวจ : การแทรกแซงการตัดสินใจ การรับสินบน
  • การทุจริตสิ่งแวดล้อมและสังคม : ปกปิดมลพิษ ขัดขวางการบังคับกฎหมายเพื่อผลประโยชน์

การจำแนกประเภทช่วยออกแบบมาตรการตอบโต้ที่ตรงจุด — แต่ก็ต้องยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้มักทับซ้อนและแปรรูปได้ตามบริบท


2. ต้นตอและรากเหง้าของการทุจริต

การทุจริตเติบโตจากปัจจัยหลายด้านที่ผสานกัน

  • ปัจจัยเชิงระบบ : ขาดความโปร่งใส, นิติรัฐอ่อนแอ, สถาบันตรวจสอบไม่เข้มแข็ง
  • ปัจจัยทางวัฒนธรรม : ค่านิยมที่ให้น้ำหนักกับเครือข่ายส่วนตัวมากกว่ามาตรฐานสาธารณะ
  • ปัจจัยทางเศรษฐกิจ : ความเหลื่อมล้ำและค่าตอบแทนน้อยในภาคราชการ
  • ปัจจัยประวัติศาสตร์ : แบบแผนการบริหารที่สืบทอดจากอดีต (colonial legacy, patronage systems)

การแก้ต้องทั้งปฏิรูปสถาบันและเปลี่ยนค่านิยมทางสังคมควบคู่กัน


3. ผลกระทบ — มากกว่าแค่สูญเสียเงิน


การทุจริตทำลายฐานรากของสังคมในหลายมิติ

  • กัดกร่อนความไว้วางใจ ในสถาบันสาธารณะและการเมือง
  • ชะลอการพัฒนาเศรษฐกิจ ทรัพยากรถูกเบียดเบียนจากบริการสาธารณะ
  • ลดการลงทุนจากต่างประเทศ และทำให้ตลาดบิดเบี้ยว
  • บ่อนทำลายหลักนิติธรรม เพิ่มความเสี่ยงต่ออาชญากรรมและความรุนแรง
  • ทำลายประชาธิปไตย เมื่อการแข่งขันทางการเมืองไม่เป็นธรรม

กล่าวสั้น ๆ การทุจริตคือต้นทุนทางสังคมที่แพร่หลายและยาวนาน


4. การทุจริตในยุคดิจิทัล

เทคโนโลยีทั้งเป็นโอกาสและความเสี่ยง

  • สกุลเงินดิจิทัลและการฟอกเงิน : ทำให้การติดตามทรัพย์สินยากขึ้น
  • เว็บมืดและตลาดเถื่อน : ขยายพื้นที่การทำธุรกรรมผิดกฎหมาย
  • การละเมิดข้อมูลและสงครามข้อมูล : ข้อมูลเป็นสินค้าที่ถูกใช้ปั่นผลการเมือง
  • การโจมตีไซเบอร์และจารกรรมองค์กร : ทำลายความเชื่อมั่นและขโมยทรัพย์สินทางปัญญา

การแก้ต้องอาศัยทักษะทางไซเบอร์ กฎหมายร่วมสมัย และมาตรการคุ้มครองข้อมูล


5. แนวทางการต่อต้านการทุจริต

บทความนี้จะรวบรวมบทเรียนจากสิงคโปร์ ฟินแลนด์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ สวีเดน เยอรมนี และประเทศอื่น ๆ โดยสรุปแนวทางสำคัญดังนี้ครับ

  • กรอบกฎหมายเข้มแข็ง และลงโทษที่มีประสิทธิผล
  • สถาบันตรวจสอบอิสระ (เช่น หน่วยสอบสวนพิเศษ อัยการผู้เชี่ยวชาญ) ที่ไม่ถูกแทรกแซงทางการเมือง
  • ความโปร่งใสของข้อมูลสาธารณะ เช่น งบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้าง เปิดเผยได้
  • การคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส (whistleblowers) เพื่อกระตุ้นการเปิดเผย
  • ใช้เทคโนโลยี (AI วิเคราะห์ความผิดปกติ, blockchain ในการจัดซื้อ) เพื่อลดจุดเสี่ยง
  • การมีส่วนร่วมของพลเมืองและเยาวชน ให้ความรู้และพื้นที่ในการตรวจสอบ
  • ความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อสืบสวนข้ามพรมแดนและยึดทรัพย์


6. ดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) — ทำไมสำคัญ

CPI เป็นเครื่องมือเปรียบเทียบระดับโลกที่ช่วยนักวิจัยและนโยบายในการวัดแนวโน้มการทุจริต ใช้ประเมินความเชื่อมโยงกับตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและสังคม และเป็นข้อมูลอ้างอิงในการออกแบบมาตรการ

7. ข้อคิดสำคัญ (Key Takeaways)

  • การทุจริตเป็นปัญหาเชิงระบบ ไม่ใช่ความผิดของบุคคลเดียว
  • การแก้ต้องผสานทั้งกฎหมาย สถาบัน เทคโนโลยี และการเปลี่ยนค่านิยม
  • เยาวชนและภาคประชาสังคมคือพลังเปลี่ยนแปลง
  • ความโปร่งใสและการตรวจสอบสาธารณะเป็นพื้นฐานของความยั่งยืน

 “โลกแห่งการคอร์รัปชั่น ศตวรรษที่ 21 … ในขณะที่สังคมก้าวหน้าทางเทคโนโลยี วิธีการและขนาดของคอร์รัปชันก็เช่นกัน”


 ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ (สำหรับผู้กำหนดนโยบาย ภาคประชาสังคม และประชาชน)

  • ปรับปรุงกฎหมายและระบบลงโทษให้ครอบคลุมความเสี่ยงใหม่ ๆ ทางไซเบอร์
  • ขยายกฎหมายคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส และระบบรับเรื่องที่ปลอดภัย
  • เปิดข้อมูลการใช้จ่ายภาครัฐแบบเรียลไทม์ และใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อตรวจสอบ
  • ส่งเสริมการศึกษาเชิงจริยธรรมตั้งแต่ระดับโรงเรียน
  • สนับสนุนแพลตฟอร์มที่ให้ประชาชนรายงานและตรวจสอบการทุจริต


เรามาสรุปและชวนคิดกันครับ


การต่อต้านการทุจริตไม่มีทางลัด — แต่มีแนวทางที่พิสูจน์ได้ว่าทำได้ เมื่อมีกฎหมายที่เหมาะสม สถาบันที่เข้มแข็ง เทคโนโลยีที่ชาญฉลาด และพลเมืองที่พร้อมมีส่วนร่วม เราสามารถลดอคติทางอำนาจ และสร้างสังคมที่โปร่งใสและยุติธรรมมากขึ้นได้

การต่อสู้กับคอร์รัปชันคือการลงทุนระยะยาวที่คืนผลในรูปแบบความไว้วางใจ ความมั่นคง และการพัฒนาอย่างเท่าเทียม — และทุกคนมีบทบาทในเกมนี้นะครับ

บทความโดย ครูพี่ลี ดลรวี ภัทรกุลพิมล
โปรดิวเซอร์ รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน

คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน รายการที่จะนำคุณไปสัมผัสกับ อัตลักษณ์ท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย เศรษฐกิจพอเพียง และแนวคิดดีๆ จากบุคคลต้นแบบ ปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อเป็นพลังสรรค์สร้าง คุณภาพชีวิตทีดี อย่างยั่งยืน

  • ออกอากาศทาง สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย วิทยุเพื่อการเรียนรู้และเตือนภัย ภาคกลาง AM 1467 KHz ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ
  • ออกอากาศทางช่องทาง Live Streaming ผ่าน Facebook Live "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ
  • สามารถมารับชมย้อนหลังผ่านทาง Youtube ช่อง "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ได้อีกช่องทางหนึ่ง...

เพจ & Youtube : รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน

เกี่ยวกับเรา : รายการ "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" พวกเราคือใคร?

ป.ล. หากบทความนี้มีประโยชน์ ฝากช่วยกันแชร์ บทความนี้ส่งต่อๆ ออกไปสู่กลุ่มผู้คนวงกว้างให้ได้รับคุณประโยชน์... แบ่งปันความรู้ดีๆ กันนะครับ หนึ่งความรู้ หนึ่งความคิดดีๆ อาจจะเปลี่ยน ช่วยเหลือ ผู้คน และสังคมได้นะครับ และที่สำคัญสิ่งเล็กๆ ที่ท่านทำในวันนี้สามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดียิ่งขึ้นได้ ขอขอบคุณทุกท่านจากหัวใจ ไว้ ณ โอกาสนี้นะครับ... แล้วกลับมาพบกันใหม่ในบทความต่อๆไปนะครับผม ^_^

คนกล้าคืนถิ่น สานพลังชุมชน | คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน EP.106


 “คนกล้าคืนถิ่น สานพลังชุมชน”

ในยุคที่โลกเต็มไปด้วยความเปราะบางและความไม่แน่นอน หลายคนอาจรู้สึกเหนื่อยล้า สับสน หรือหลงลืมรากเหง้าของตนเอง แต่ยังมีผู้กล้าที่เลือก “กลับบ้าน” ด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและศรัทธา

หนึ่งในนั้นคือ พี่เจน – กฤษณา โกรกสำโรง ประธานวิสาหกิจชุมชน ผักปลอดภัยในมือเราตามรอยพ่อ จังหวัดแพร่

 

จุดเปลี่ยนชีวิต


พี่เจนเกิดมาในครอบครัวเกษตรกร ภาพจำในวัยเด็กคือการช่วยพ่อแม่ทำนา ใส่ปุ๋ย พ่นยาฆ่าหญ้า เพื่อให้ได้ผลผลิตมากขึ้น จนดินเสื่อมโทรมและ “แม่ธรณี” ถูกทำร้าย

เธอเติบโตแล้วออกไปทำงานโรงงานในเมืองใหญ่ กระทั่งชีวิตพลิกผัน — ทั้งตัวเองที่ล้มป่วยด้วยโรคภูมิแพ้จากสารเคมี และคนรักที่หัวใจเต้นผิดจังหวะ

การตัดสินใจ “กลับบ้าน” จึงไม่ใช่แค่การกลับไปหาครอบครัว แต่เป็นการกลับไป ดูแลตัวเองด้วยธรรมชาติบำบัด และเยียวยาแผ่นดินที่บอบช้ำ

จากผักกินเอง สู่พลังชุมชน


เริ่มแรก พี่เจนปลูกผักปลอดสารพิษเพื่อดูแลสุขภาพตัวเองและครอบครัว แต่ผลผลิตที่เหลือทำให้เกิดการแบ่งปัน และต่อยอดสู่การจำหน่ายในชุมชน

ชาวบ้านที่ส่วนใหญ่เป็นแม่ ๆ ผู้สูงอายุที่ว่างงานหรือรอเงินจากลูกหลานในเมือง ได้หันมาปลูกผักสวนครัวรอบบ้าน มีรายได้เสริมเล็ก ๆ และสุขภาพใจดีขึ้น โรคซึมเศร้าที่เคยเป็นปัญหาในชุมชนก็ค่อย ๆ บรรเทาลง

นี่จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ วิสาหกิจชุมชนผักปลอดภัย ที่สร้างทั้งอาหารปลอดภัย รายได้ และกิจกรรมเยียวยาใจ


 การเปลี่ยนแปลง เริ่มจากตัวเรา


การโน้มน้าวให้ชาวบ้านหันมาเชื่อในเกษตรอินทรีย์ไม่ใช่เรื่องง่าย พี่เจนจึงเลือกเริ่มจาก การเปลี่ยนตัวเอง

เธอทำแปลงสาธิต ใช้วัตถุดิบที่มีในท้องถิ่น ไม่พึ่งสารเคมี ทดลอง ปรับปรุง และแบ่งปันความรู้ ปุ๋ยหมักและกล้าไม้ก็เพาะเองแล้วแจกจ่ายให้คนในชุมชน

เมื่อผลผลิตงอกงามโดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมี ชาวบ้านจึงเริ่มเชื่อ และเข้ามาศึกษา ร่วมทดลอง จนกลายเป็นการเคลื่อนไหวที่ทั้งชุมชนมีส่วนร่วม


 ศักดิ์ศรีของการพึ่งพาตนเอง

พี่เจนบอกว่า “โตคนเดียว ไปได้ไว แต่ไปได้ไม่นาน โตกับชุมชน แม้จะไปช้า แต่ไปได้ไกล”

ทุกวันนี้ กลุ่มวิสาหกิจไม่เพียงสร้างรายได้ให้ชุมชน แต่ยังเป็นพื้นที่ที่เด็ก ๆ เยาวชนได้เข้ามาเรียนรู้ ใช้ความรู้ด้านไอทีทำตลาดออนไลน์ และสานต่อกิจการเพื่ออนาคต

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ชุมชนได้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา — ความภูมิใจที่สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน


“ปลูกด้วยใจ ให้ด้วยรัก ฟูมฟักด้วยชุมชน”

นี่คือหัวใจของการคืนถิ่นของพี่เจน ที่ไม่ได้เพียงเปลี่ยนชีวิตตัวเอง แต่ยังปลุกพลังให้ทั้งชุมชน และส่งต่อความหวังให้ผืนแผ่นดิน


รายการ คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน EP.106 | คนกล้าคืนถิ่น สานพลังชุมชน

สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เพื่อการเรียนรู้และเตือนภัย ภาคกลาง AM 1467 KHz ออกอากาศ ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และรับชมย้อนหลังผ่านทาง Youtube ช่อง "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ได้อีกช่องทางหนึ่ง...


👉 นี่คือเรื่องราวจาก เวทีเสวนา “คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน” EP.106 หากอยากรับฟังบทสนทนาเต็ม ๆ สามารถติดตามได้จากรายการย้อนหลัง 🌱

บทความโดย ครูพี่ลี ดลรวี ภัทรกุลพิมล
โปรดิวเซอร์ รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน

คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน รายการที่จะนำคุณไปสัมผัสกับ อัตลักษณ์ท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย เศรษฐกิจพอเพียง และแนวคิดดีๆ จากบุคคลต้นแบบ ปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อเป็นพลังสรรค์สร้าง คุณภาพชีวิตทีดี อย่างยั่งยืน

  • ออกอากาศทาง สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย วิทยุเพื่อการเรียนรู้และเตือนภัย ภาคกลาง AM 1467 KHz ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ
  • ออกอากาศทางช่องทาง Live Streaming ผ่าน Facebook Live "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ
  • สามารถมารับชมย้อนหลังผ่านทาง Youtube ช่อง "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ได้อีกช่องทางหนึ่ง...

เพจ & Youtube : รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน

เกี่ยวกับเรา : รายการ "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" พวกเราคือใคร?

ป.ล. หากบทความนี้มีประโยชน์ ฝากช่วยกันแชร์ บทความนี้ส่งต่อๆ ออกไปสู่กลุ่มผู้คนวงกว้างให้ได้รับคุณประโยชน์... แบ่งปันความรู้ดีๆ กันนะครับ หนึ่งความรู้ หนึ่งความคิดดีๆ อาจจะเปลี่ยน ช่วยเหลือ ผู้คน และสังคมได้นะครับ และที่สำคัญสิ่งเล็กๆ ที่ท่านทำในวันนี้สามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดียิ่งขึ้นได้ ขอขอบคุณทุกท่านจากหัวใจ ไว้ ณ โอกาสนี้นะครับ... แล้วกลับมาพบกันใหม่ในบทความต่อๆไปนะครับผม ^_^

บทความที่ได้รับความนิยม