กล้วยตากโชคชัย จาก "เรื่องกล้วยๆ" สู่ธุรกิจสร้างสุขให้ชุมชน

 

ในฐานะที่ปรึกษาธุรกิจชุมชน ผมได้เห็นเรื่องราวความสำเร็จมามากมาย แต่เรื่องราวของ "กล้วยตากโชคชัย" จากหมู่บ้านเล็กๆ ที่ชื่อว่า "บ้านโชคชัย" ในจังหวัดเชียงรายนั้น มีแง่มุมที่น่าสนใจและเป็นบทเรียนล้ำค่าสำหรับนักประกอบการรุ่นใหม่ที่อยากสร้างธุรกิจจากสิ่งที่มีในท้องถิ่นของตนเอง วันนี้ผมจะพาทุกท่านย้อนกลับไปดูเบื้องหลังความสำเร็จที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบของพวกเขากันครับ

จุดเริ่มต้น ประกายไฟจากปัญหาในชุมชน

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นในวันธรรมดาวันหนึ่ง เมื่อคุณศิริกัลยา อุปนันท์ หรือพี่ศิ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ ได้พบกับคุณยาย (หรือที่คนเหนือเรียกว่า "แม่อุ๊ย") ท่านหนึ่งกำลังปั่นจักรยานกลับจากตลาด ด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก ในตะกร้าหลังรถจักรยานของท่านยังมีกล้วยน้ำว้าสุกอยู่เต็มตะกร้า ราว 5-6 หวี เหมือนตอนขาไปไม่มีผิด

ด้วยความสงสัย คุณศิริกัลยาจึงเอ่ยถาม และได้คำตอบที่น่าใจหายว่า "ขายไม่ได้เลยสักหวีเดียว"
 
เหตุการณ์เล็กๆ ในวันนั้น ได้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในชุมชน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง
 
"ปัญหาหลักที่พบคือ ในช่วงที่ผลผลิตกล้วยมีปริมาณมาก ทำให้ราคากล้วยตกต่ำอย่างยิ่ง (เพียงหวีละ 3 บาท) และเกษตรกรไม่สามารถขายผลผลิตของตนเองได้"
 
คุณศิริกัลยาตัดสินใจรับซื้อกล้วยทั้งหมดของคุณยายในวันนั้น และกล้วย 6 หวีที่ไม่มีใครต้องการ ได้กลายเป็นวัตถุดิบล็อตแรกในการทดลองทำ "กล้วยตาก" มันคือประกายความคิดเล็กๆ ที่จะเปลี่ยนกล้วยราคาถูกให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่า และเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ยาวไกลกว่าที่ใครจะคาดคิด แต่ความท้าทายที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น
 
คุณศิริกัลยา อุปนันท์

 

บทเรียน "ลองผิดลองถูก" เมื่อเรื่องกล้วยๆ ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

ในช่วงแรก หลายคนในชุมชนรวมถึงพี่ศิเองก็มองว่าการทำกล้วยตากเป็น "เรื่องกล้วยๆ" ที่ใครๆ ก็ทำได้ เพราะเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมที่เห็นกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย แต่เมื่อความคิดที่จะทำกินกันเองในครัวเรือน ถูกยกระดับขึ้นเป็นการทำธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ความท้าทายที่คาดไม่ถึงก็ปรากฏขึ้นมาทันที

 เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ผมขอสรุปบทเรียนจากการลงมือทำจริงผ่านตารางเปรียบเทียบนี้ครับ

 

เมื่อเจอปัญหา พวกเขาก็ไม่ได้ยอมแพ้ พี่ศิแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของนักประกอบการ ด้วยการลงมือแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เธอเรียนรู้วิธีการจาก YouTube และอินเทอร์เน็ต ลงมือออกแบบ "ตู้ตาก" ด้วยตนเอง แล้วจ้างช่างฝีมือ (สล่า) ในหมู่บ้านมาสร้างขึ้น แม้ตู้ตากจะช่วยให้กระบวนการผลิตสะอาดขึ้น แต่ก็ยังมีข้อจำกัดสำคัญคือ ต้นทุนที่สูงเกือบ 10,000 บาท แต่กลับผลิตได้ในปริมาณน้อย ไม่เพียงพอต่อการทำเป็นธุรกิจจริงจัง

นี่คือบทเรียนคลาสสิกของการขยายกิจการ (Scaling) ที่ธุรกิจชุมชนจำนวนมากต้องเผชิญ สิ่งที่ใช้ได้ผลในระดับครัวเรือน อาจกลายเป็นอุปสรรคสำคัญเมื่อเข้าสู่ตลาดการค้าจริง และทำให้พวกเขาตระหนักว่า การพึ่งพาเพียงความรู้และกำลังของตนเองนั้นอาจไม่เพียงพออีกต่อไป

กุญแจสู่ความสำเร็จ การค้นพบ "เครื่องมือ" ที่ใช่

จุดนี้คือหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญที่สุด ที่แยกธุรกิจที่ "อยู่รอด" ออกจากธุรกิจที่ "เติบโต" นั่นคือการเปลี่ยนกรอบความคิดจากการพึ่งพาตนเอง (Self-Reliance) ไปสู่การสร้างเครือข่ายและการแสวงหาความรู้ (Network & Knowledge Seeking) หลังจากล้มลุกคลุกคลานและทำธุรกิจแบบ "มวยวัด" ที่ไม่มีแบบแผนมาสักพัก พี่ศิก็ได้ค้นพบ "เครื่องมือ" สำคัญ 3 อย่างที่เข้ามาพลิกโฉมธุรกิจกล้วยตากโชคชัยไปตลอดกาล

1. แผนธุรกิจเพื่อชุมชน (CBMC) นี่คือเครื่องมือชิ้นแรกที่สอนให้พวกเขารู้จักคำว่า "การวางแผน" อย่างเป็นระบบ จากที่เคยทำธุรกิจแบบสะเปะสะปะ ก็เริ่มมีทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน ทำให้มองเห็นภาพรวมและเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

2. โครงการธุรกิจปันกัน โครงการนี้ได้มอบองค์ความรู้ที่จำเป็นรอบด้าน แต่ที่สำคัญที่สุดคือการติดอาวุธด้าน "การบริหารการเงิน" ซึ่งเป็นจุดอ่อนของธุรกิจชุมชนจำนวนมาก พวกเขาได้เรียนรู้ศัพท์ใหม่ๆ ที่นำไปใช้ได้จริง เช่น การทำ "งบดุล" เพื่อให้เห็นสถานะทางการเงินของกิจการ และได้รู้จักแยกแยะการใช้จ่ายระหว่าง "บำเรอชีพ" (การใช้จ่ายฟุ่มเฟือย) กับ "บรรลัยชีพ" (การใช้จ่ายที่นำไปสู่ความพินาศ) ทำให้ควบคุมต้นทุนและวางแผนการเงินได้อย่างรัดกุม

3. ความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา การทำงานร่วมกับ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย คือกุญแจสำคัญในการยกระดับผลิตภัณฑ์ ซึ่งแตกต่างจากประสบการณ์ที่กลุ่มชุมชนหลายแห่งเคยเจอจนรู้สึก "เข็ดแล้ว" กับการทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษาที่มักจะจบโครงการแล้วหายไป แต่ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการทำงานแบบ "เกาะติดแล้วก็ให้ความสนใจร่วมกันพัฒนาแบบใส่ใจ" ทำให้แบรนด์ได้รับการพัฒนาอย่างจริงจัง และพร้อมแข่งขันในตลาดที่ใหญ่ขึ้น
 
การค้นพบเครื่องมือที่ใช่เหล่านี้ พิสูจน์ให้เห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง แต่การรู้จักที่จะแสวงหาความช่วยเหลือและเครือข่ายที่เหมาะสม คือหนึ่งในกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ
 

หัวใจของ "โชคชัย" วิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่กว่ากำไร

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมถึงไม่ใช้ชื่อส่วนตัว แต่กลับเลือกใช้ชื่อ "กล้วยตากโชคชัย" คำตอบนั้นเรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง เพราะ "โชคชัย" คือชื่อของหมู่บ้าน การใช้ชื่อนี้จึงเป็นการสร้างความภาคภูมิใจและทำให้ทุกคนในชุมชนรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน

แต่สิ่งที่ขับเคลื่อนให้พี่ศิและสมาชิกสู้ไม่ถอย คือเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเลขกำไร ซึ่งเป็นหัวใจที่แท้จริงของธุรกิจนี้ และมีรากฐานมาจากความรู้สึกส่วนตัวที่ลึกซึ้ง "เพราะตัวพี่ก็มีลูกสาว พี่ก็ไม่อยากให้ลูกสาวพี่อ่ะ ต้องออกจากบ้านแล้วไปทำงานที่อื่น" ความปรารถนานี้ได้ขยายผลกลายเป็นวิสัยทัศน์เพื่อส่วนรวม

"เราอยากสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้คนในชุมชน เพื่อให้คนรุ่นหลังไม่ต้องออกจากบ้านไปทำงานที่อื่น เราไม่อยากให้ผู้สูงอายุต้องอยู่เฝ้าบ้านตามลำพัง... นี่คือความสุขที่เราอยากสร้างให้เกิดขึ้นในชุมชน"

วิสัยทัศน์นี้เองที่กลายเป็นพลังให้พวกเขาก้าวข้ามอุปสรรค และเป็นที่มาของความใส่ใจในทุกขั้นตอน จนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีจุดเด่นชัดเจน คือ การคัดสรรวัตถุดิบเฉพาะกล้วยพันธุ์มะลิอ่อง, รสชาติที่หวานหอมจากธรรมชาติ 100% ไม่ปรุงแต่ง และกระบวนการผลิตที่เป็นสูตรเฉพาะของชุมชน

ถึงนักประกอบการรุ่นใหม่

เรื่องราวของกล้วยตากโชคชัยไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเล่าของผลิตภัณฑ์ชุมชน แต่เป็นบทเรียนที่ทรงคุณค่าสำหรับเยาวชนและผู้ที่ใฝ่ฝันอยากจะสร้างธุรกิจของตัวเอง ผมขอสรุปข้อคิดสำคัญที่ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ได้ดังนี้ครับ

แผนงานต้องชัด เป้าหมายต้องชัด การทำธุรกิจโดยไม่มีแผนก็เหมือนการเดินทางโดยไม่มีแผนที่ โอกาสที่จะไปถึงจุดหมายนั้นมีน้อยมาก การวางแผนที่ดีคือจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ

"การลงมือทำ" สำคัญที่สุด แผนจะดีแค่ไหนก็ไม่มีความหมายหากไม่ลงมือปฏิบัติจริง การลองผิดลองถูกไม่ใช่ความล้มเหลว แต่มันคือการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงที่มีค่าที่สุด

อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ เราไม่จำเป็นต้องรู้หรือทำเป็นทุกอย่างด้วยตัวเอง การเดินเข้าไปหาหน่วยงาน เครือข่าย หรือผู้ที่มีความรู้ คือทางลัดที่จะช่วยให้เราเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น

ค้นหาเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าเงิน กำไรเป็นสิ่งสำคัญ แต่การมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือผู้คน ชุมชน หรือสร้างคุณค่าบางอย่าง จะเป็นพลังขับเคลื่อนที่แข็งแกร่งที่สุดให้เราก้าวข้ามอุปสรรคได้ในวันที่ท้อแท้

ผมขอยกคำพูดของพี่ศิ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคนที่กำลังเดินทางบนเส้นทางสายนี้

"ความสำเร็จอยู่ไม่ไกล... ถ้าจะสำเร็จได้ เราต้องลงมือทำ แผนงานชัด เป้าหมายชัดเจน โอกาสไปถึงยังความสำเร็จมีได้ 100%"


เรามาช่วยกันสรุปถอดบทเรียน กล้วยตากโชคชัย กันครับ
‘กล้วยตากโชคชัย’ 4 ข้อคิดจากธุรกิจชุมชนที่สอนว่า ‘เรื่องกล้วยๆ ไม่มีอยู่จริง’

ในภาษาไทย เรามักใช้สำนวน “เรื่องกล้วยๆ” เพื่อหมายถึงสิ่งที่ทำได้ง่ายดาย ไม่ซับซ้อน แต่เบื้องหลังผลิตภัณฑ์ที่ดูเรียบง่ายอย่าง “กล้วยตาก” กลับมีเรื่องราวการต่อสู้ การเรียนรู้ และความมุ่งมั่นที่ “ไม่กล้วย” ซ่อนอยู่ นี่คือเรื่องราวของกิจการชุมชนแห่งหนึ่ง ที่เปลี่ยนความขมของปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ ให้กลายเป็นความหวานหนึบของโอกาสที่ยั่งยืน ผมจะพาไปถอดบทเรียนล้ำค่าจาก “กล้วยตากโชคชัย” กิจการวิสาหกิจชุมชนเล็กๆ ในหมู่บ้านโชคชัย จังหวัดเชียงราย ที่จะมาพิสูจน์ให้เห็นว่า กว่าจะมาเป็นกล้วยตากคุณภาพหนึ่งชิ้นนั้น ต้องผ่านอะไรมาบ้าง

ข้อคิดที่ 1 จากกล้วยราคา 3 บาท สู่ธุรกิจชุมชน จุดเริ่มต้นไม่ได้มาจากโอกาส แต่มาจาก ‘ปัญหา’

จุดกำเนิดของกล้วยตากโชคชัยไม่ได้เริ่มต้นจากแผนธุรกิจที่สวยหรู แต่เกิดจากภาพเหตุการณ์เล็กๆ ที่พี่ศิ ประธานกลุ่มฯ ได้เห็นคุณยาย (แม่อุ๊ย) ท่านหนึ่งในหมู่บ้าน ปั่นจักรยานโดยมีกล้วยสุกอยู่ 5-6 หวีในตะกร้าหลังรถ มุ่งหน้าไปขายที่ตลาด

เย็นวันนั้นเอง ภาพที่สองก็ปรากฏขึ้น คุณยายคนเดิมปั่นจักรยานกลับมาทางเดิม แต่สิ่งที่แตกต่างคือความพ่ายแพ้บนใบหน้า และที่เหมือนเดิมคือกล้วยทั้งตะกร้าที่ยังอยู่ครบ ไม่มีใครรับซื้อ แม้จะขายในราคาถูกแสนถูกเพียงหวีละประมาณ 3 บาท

ภาพนั้นจุดประกายให้พี่ศิเห็นถึง “ปัญหา” ที่แท้จริงของชุมชน นั่นคือผลผลิตกล้วยน้ำว้าที่ล้นตลาดจนราคาตกต่ำ เธอจึงตัดสินใจเปลี่ยนความสงสารให้เป็นการลงมือทำ โดยขอซื้อกล้วยเพียง 6 หวีในตะกร้านั้นมาเป็นจุดเริ่มต้นของการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า นี่คือบทเรียนข้อแรกที่สำคัญที่สุด ธุรกิจที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืนหลายแห่งไม่ได้เริ่มต้นจากการมองหาโอกาส แต่เริ่มต้นจากการมองเห็นปัญหาเล็กๆ รอบตัวด้วยความเข้าอกเข้าใจ แล้วลุกขึ้นมาแก้ไขมันอย่างจริงจัง

ข้อคิดที่ 2 ไม่ใช่กล้วยทุกลูกจะตากได้ บทเรียนราคาแพงของการ ‘ลองผิดลองถูก’

ความคิดแรกที่ว่าการทำกล้วยตากเป็นเรื่องง่ายนั้น มาจากภาพจำในวัยเด็กที่เห็นผู้เฒ่าผู้แก่ทำกินกันในครัวเรือน แค่ “แกะเปลือก ตากกระโด้ง ประมาณ 3 แดด เก็บมา...ทานได้” แต่ความคิดนั้นก็พังทลายลงทันทีที่เริ่มทำในเชิงธุรกิจ เพราะการแปรรูปในปริมาณมากมีอุปสรรคที่คาดไม่ถึงซ่อนอยู่

บทเรียนราคาแพงที่ได้เรียนรู้ผ่านการลองผิดลองถูกคือ ไม่ใช่กล้วยน้ำว้าทุกสายพันธุ์จะสามารถนำมาทำกล้วยตากที่มีคุณภาพได้ หลังจากทดลองนำกล้วยหลายพันธุ์มาแปรรูป ผลลัพธ์กลับน่าผิดหวัง เพราะ “ทั้งคุณภาพ ทั้งรสชาติ ทั้งกลิ่น เนื้อสัมผัส มันไม่เหมาะสม” จนกระทั่งค้นพบว่ามีเพียง “กล้วยน้ำว้าพันธุ์มะลิอ่อง” เท่านั้น ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
 
เท่านั้นยังไม่พอ อุปสรรคเรื่องดินฟ้าอากาศที่ควบคุมไม่ได้ก็เข้ามาท้าทาย วันที่ฝนตกหรือไม่มีแดดหมายถึงกล้วยทั้งล็อตต้องเสียหาย กลุ่มจึงต้องดิ้นรนหาทางออกด้วยการลงทุนสร้าง “ตู้ตาก” ที่พี่ศิออกแบบเองจากความรู้ที่ค้นคว้าผ่าน YouTube และ Google ก่อนจะต่อยอดไปสู่การขอรับการสนับสนุน “โดมพาราโบลา” จากหน่วยงานภาครัฐเพื่อควบคุมคุณภาพให้คงที่ แม้จะเหนื่อยและท้อ แต่เมื่อลงทุนไปแล้วก็ถอยไม่ได้
 
โดมพาราโบลา

พี่ศิได้สรุปบทเรียนนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า "การทำกล้วยตากเพื่อกินในครอบครัวแค่ไม่กี่หวี...มันเป็นเรื่องง่ายมาก แต่สำหรับการทำกล้วยตากเพื่อทำเป็นธุรกิจให้เกิดรายได้...มันเป็นเรื่องที่ยากมาก มากๆ ค่ะ'

ข้อคิดที่ 3 หยุดทำธุรกิจแบบ ‘มวยวัด’ เมื่อ ‘แผนงาน’ สำคัญกว่า ‘เงินทุน’

เมื่อธุรกิจเริ่มขยายตัว พี่ศิก็ตระหนักว่าการทำธุรกิจแบบ “มวยวัด” หรือการทำไปเรื่อยๆ โดยไม่มีทิศทางนั้น ไม่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน เธอจึงตัดสินใจออกไปแสวงหาความรู้ด้วยตัวเอง และได้พบกับเครื่องมือสำคัญ 2 อย่างที่เข้ามาเปลี่ยนทิศทางของกิจการไปตลอดกาล
 
1. แผนธุรกิจเพื่อชุมชน (CBMC) การได้เข้าร่วมเรียนรู้กับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) ทำให้กลุ่มมีเป้าหมายและทิศทางที่ชัดเจนขึ้น จากที่เคยทำแบบสะเปะสะปะ ก็เปลี่ยนมาเป็นการวางแผนอย่างเป็นระบบ ทำให้มองเห็นภาพรวมและสามารถเดินไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ได้
 
2. โครงการธุรกิจปันกัน โครงการนี้เปรียบเสมือนค่ายฝึกทางธุรกิจที่ “โหดและหินมาก” สอนให้รู้จักการบริหารการเงินอย่างลึกซึ้ง เช่น การแยกแยะค่าใช้จ่ายประเภท บำเรอชีพ หรือ บรรลัยชีพ ซึ่งช่วยควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงความรู้ด้านการตลาด ซึ่งเป็นสิ่งที่ธุรกิจชุมชนส่วนใหญ่มักมองข้ามไป
 
บทเรียนนี้ย้ำเตือนว่า ความมุ่งมั่นและแรงใจเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ แต่การมี “แผนงาน” และเครื่องมือทางความคิดที่เป็นระบบ คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ธุรกิจชุมชนสามารถก้าวข้ามอุปสรรคและเติบโตได้อย่างแท้จริง

ข้อคิดที่ 4 ไม่ได้ขายแค่กล้วย แต่กำลังสร้าง ‘บ้าน’ ปณิธานที่ลึกซึ้งกว่ากำไร 

เป้าหมายที่ลึกซึ้งที่สุดของกล้วยตากโชคชัยไม่ใช่แค่เรื่องของผลกำไร แต่คือการสร้างอนาคตให้กับชุมชน สิ่งนี้สะท้อนผ่านการเลือกใช้ชื่อแบรนด์ว่า “โชคชัย” ซึ่งเป็นชื่อหมู่บ้าน แทนที่จะเป็นชื่อของตัวเอง พี่ศิต้องการให้ผลิตภัณฑ์นี้เป็นความภาคภูมิใจและเป็นสมบัติของทุกคนในชุมชน
 
ปณิธานสำคัญคือการสร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคงให้คนในหมู่บ้าน เพื่อให้คนรุ่นหลังไม่ต้องอพยพออกไปทำงานไกลบ้าน สามารถกลับมาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว ดูแลพ่อแม่และผู้สูงอายุได้ ดังที่พี่ศิกล่าวด้วยความรู้สึกจากใจจริงว่า “ตัวพี่ก็มีลูกสาว พี่ก็ไม่อยากให้ลูกสาวพี่อ่ะ ต้องออกจากบ้านแล้วไปทำงานที่อื่น” นี่ไม่ใช่แค่การขายสินค้า แต่คือการสร้าง “ระบบนิเวศของชุมชน” ที่ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขและยั่งยืน เป็นการวางรากฐานให้ “บ้าน” ยังคงเป็นบ้านที่อบอุ่นสำหรับคนทุกรุ่นต่อไป
 
เรื่องราวของ “กล้วยตากโชคชัย” ได้สอนเราว่า ภายใต้ผลิตภัณฑ์ที่ดูเรียบง่าย คือบทพิสูจน์ของการแก้ปัญหา ความอดทน การเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด และที่สำคัญที่สุดคือความรักที่มีต่อชุมชน จากสายตาที่มองเห็นปัญหา, สองมือที่ยอมลองผิดลองถูก, สมองที่เปิดรับความรู้ใหม่, และหัวใจที่ผูกพันกับบ้านเกิดนี่คือส่วนผสมทั้งหมดที่ทำให้ ‘กล้วยตากโชคชัย’ ไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ แต่คือคำตอบของชุมชนที่สู้ไม่ถอย
 
แล้วในชุมชนของคุณ มี “เรื่องกล้วยๆ” อะไรบ้างที่ซ่อนปัญหาและศักยภาพไว้ รอวันที่จะถูกเปลี่ยนให้เป็นพลังบวกเช่นนี้?.
 

ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย AM 1467 KHz
วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 – 19.00 น.

กล้วยตากโชคชัย สายใยเศรษฐกิจชุมชนพลังบวก ตอน 1
กล้วยตากโชคชัย สายใยเศรษฐกิจชุมชนพลังบวก ตอน 2

 

หมายเหตุ : เนื้อหาหลักของบทความนี้สังเคราะห์และวิเคราะห์จากการพูดคุยของ คุณศิริกัลยา อุปนันท์ (พี่ศิ) ในหัวข้อ “กล้วยตากโชคชัย สายใยเศรษฐกิจชุมชนพลังบวก” จากรายการ “คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน” EP.49 หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ.

เรียบเรียง/บทความโดย ครูพี่ลี ดลรวี ภัทรกุลพิมล
โปรดิวเซอร์ รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน

คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน รายการที่จะนำคุณไปสัมผัสกับ อัตลักษณ์ท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย เศรษฐกิจพอเพียง และแนวคิดดีๆ จากบุคคลต้นแบบ ปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อเป็นพลังสรรค์สร้าง คุณภาพชีวิตทีดี อย่างยั่งยืน

  • ออกอากาศทาง สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย วิทยุเพื่อการเรียนรู้และเตือนภัย ภาคกลาง AM 1467 KHz ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ
  • ออกอากาศทางช่องทาง Live Streaming ผ่าน Facebook Live "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ
  • สามารถมารับชมย้อนหลังผ่านทาง Youtube ช่อง "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ได้อีกช่องทางหนึ่ง...

เพจ & Youtube : รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน

เกี่ยวกับเรา : รายการ "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" เราคือใคร?

ป.ล. หากบทความนี้มีประโยชน์ ฝากช่วยกันแชร์ บทความนี้ส่งต่อๆ ออกไปสู่กลุ่มผู้คนวงกว้างให้ได้รับคุณประโยชน์... แบ่งปันความรู้ดีๆ กันนะครับ หนึ่งความรู้ หนึ่งความคิดดีๆ อาจจะเปลี่ยน ช่วยเหลือ ผู้คน และสังคมได้นะครับ และที่สำคัญสิ่งเล็กๆ ที่ท่านทำในวันนี้สามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดียิ่งขึ้นได้ ขอขอบคุณทุกท่านจากหัวใจ ไว้ ณ โอกาสนี้นะครับ... แล้วกลับมาพบกันใหม่ในบทความต่อๆไปนะครับผม ^_^

บทความที่ได้รับความนิยม