VIDEO
จากมรดกที่ถูกลืมเลือนสู่การเดินทางครั้งใหม่ของลิ้นจี่เมืองจัง
ในระบบนิเวศของเกษตรกรรมชุมชน
ลิ้นจี่แห่งตำบลเมืองจัง จังหวัดน่าน
ถือเป็นกรณีศึกษาที่ทรงพลังในการเปลี่ยนผ่านมรดกทางวัฒนธรรมไปสู่เครื่องยนต์ขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่เปี่ยมด้วยพลวัต
ความสำคัญของลิ้นจี่หยั่งรากลึกถึงขั้นถูกบรรจุไว้ในคำขวัญประจำจังหวัดว่า
"...ลิ้นจี่ชวนลอง..."
ทว่าเบื้องหลังชื่อเสียงอันหอมหวานนี้คือวิกฤตการณ์เชิงโครงสร้างที่เกือบทำให้มรดกของบรรพบุรุษต้องเลือนหายไป
จากการติดกับดักสินค้าโภคภัณฑ์ที่นำไปสู่ปัญหาราคาตกต่ำและคุณภาพที่ถดถอย
เกษตรกรจำนวนมากจำต้องโค่นต้นลิ้นจี่ทิ้งเพื่อความอยู่รอด...
บทความเชิงวิเคราะห์ที่ผมนำเสนอนี้
จะสำรวจเส้นทางการพลิกฟื้นลิ้นจี่เมืองจังจากจุดที่ใกล้จะสาบสูญสู่การสร้างโมเดล
"ลิ้นจี่พรีเมียม" ที่เปี่ยมด้วยมูลค่า
โดยสังเคราะห์บทเรียนจากการผสานพลังของคนในชุมชน
การแสวงหาองค์ความรู้และนวัตกรรมจากสถาบันการศึกษา
และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็ง
เพื่อถอดรหัสกลยุทธ์ที่สามารถเป็นกรณีศึกษาต้นแบบสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนเกษตรกรรมให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน
เพื่อที่จะเข้าใจถึงความสำเร็จของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
การย้อนกลับไปวิเคราะห์ถึงรากเหง้าของปัญหาที่เกือบทำให้มรดกชิ้นนี้ต้องล่มสลายจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด
วิกฤตการณ์ลิ้นจี่เมืองจัง การวิเคราะห์รากเหง้าของปัญหา การวางกลยุทธ์ฟื้นฟูที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องตั้งอยู่บนความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา
การเสื่อมถอยของลิ้นจี่เมืองจังไม่ได้เกิดขึ้นจากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง
แต่เป็นผลพวงจากปัญหาที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกันในหลายมิติ ตั้งแต่เศรษฐกิจ
ตลาด ไปจนถึงคุณภาพผลผลิตและจิตใจของเกษตรกร
ความรุ่งเรืองในอดีตและคุณค่าทางวัฒนธรรม ในอดีต ลิ้นจี่คือความภาคภูมิใจและเป็นหัวใจของเศรษฐกิจและสังคมของตำบลเมืองจัง ชุมชนเคยจัด "งานลิ้นจี่ของดีเมืองจัง"
ซึ่งเป็นงานประจำปีที่สะท้อนถึงคุณค่าทางวัฒนธรรมอย่างเด่นชัด
กิจกรรมภายในงานไม่ได้มีเพียงการซื้อขายผลผลิต แต่ยังเต็มไปด้วยสีสัน เช่น
การประกวดผลลิ้นจี่ และไฮไลต์สำคัญอย่างการประกวด "ธิดาลิ้นจี่"
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงความงามเข้ากับความอุดมสมบูรณ์ของผืนดิน
เทศกาลนี้จึงเป็นเครื่องยืนยันถึงความผูกพันอันแน่นแฟ้นระหว่าง "ลิ้นจี่"
กับ "วิถีชีวิต" ของคนเมืองจัง
ปัจจัยเชิงเศรษฐกิจและตลาดที่นำไปสู่การเสื่อมถอย ตัวเร่งสำคัญที่นำไปสู่วิกฤตการณ์คือความเปราะบางของชุมชนต่อ กับดักสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Trap)
ซึ่งเป็นจุดอ่อนเชิงโครงสร้างของโมเดลเกษตรกรรมที่เน้นปริมาณ
เมื่อผลผลิตที่ไม่มีความแตกต่างต้องแข่งขันกันด้วยราคาเพียงอย่างเดียว
จึงนำไปสู่การกัดกร่อนกำไรอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ราคาลิ้นจี่ดิ่งลงจนเหลือเพียง กิโลกรัมละ 7-8 บาท
ซึ่งไม่คุ้มค่ากับต้นทุนแรงงานเก็บเกี่ยวที่สูงขึ้น
ทำให้เกษตรกรขาดแรงจูงใจและจำต้องหันไปปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นที่ให้ผลตอบแทนมั่นคงกว่า
ส่งผลให้ต้นลิ้นจี่ที่สืบทอดกันมาถูกโค่นทิ้งเป็นจำนวนมาก
ปัญหาคุณภาพผลผลิตและผลกระทบต่อชื่อเสียง เมื่อความต้องการของตลาดเพิ่มขึ้นในอดีต เกษตรกรได้ขยายพื้นที่เพาะปลูกไปยังพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะ พื้นที่เชิงเขา ซึ่งแม้จะทำให้ลิ้นจี่สุกเร็วและออกสู่ตลาดได้ก่อน แต่คุณภาพกลับด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยลิ้นจี่จากที่สูงมักมี รสชาติเปรี้ยวและเนื้อบาง
ขณะที่ลิ้นจี่คุณภาพดีจากพื้นที่ลุ่มริมแม่น้ำน่านกลับออกสู่ตลาดช้ากว่าและต้องเผชิญภาวะราคาตกต่ำ
ปัญหาคุณภาพที่ไม่สม่ำเสมอนี้ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่นของผู้บริบริโภคที่มีต่อ
"ลิ้นจี่เมืองจัง" ในภาพรวม
ผลกระทบต่อเกษตรกรและชุมชน วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่
เกษตรกรจำนวนมากสิ้นหวังและท้อแท้
การโค่นต้นไม้ที่เป็นมรดกตกทอดกลายเป็นภาพที่น่าสลดใจแต่จำเป็นต่อความอยู่รอด
พื้นที่เพาะปลูกลิ้นจี่ในตำบลเมืองจังลดลงอย่างน่าใจหาย จากที่เคยมีเกือบ
100% ของพื้นที่ เหลือเพียงประมาณ 20-30% เท่านั้น ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจ แต่ยังหมายถึงการสูญเสียตัวตนและรากเหง้าทางวัฒนธรรมของชุมชน
จากวิกฤตการณ์ที่ดูเหมือนจะไร้ทางออกนี้เอง
ได้นำไปสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญซึ่งเกิดจากความมุ่งมั่นของคนในชุมชน
และการแสวงหาความร่วมมือจากภายนอกเพื่อนำองค์ความรู้ใหม่เข้ามาพลิกสถานการณ์
จุดเปลี่ยนสำคัญ พลังความร่วมมือและการแสวงหาองค์ความรู้
ตัวเร่งปฏิกิริยาเพื่อการเปลี่ยนแปลง
(Catalyst for Transformation) เกิดจากพลังเสริมฤทธิ์ (Synergy)
ระหว่างผู้นำการเปลี่ยนแปลงระดับรากหญ้าและการแทรกแซงทางวิชาการอย่างตรงจุด
การผสานกันระหว่าง "ปัญญาพื้นถิ่น" ที่สั่งสมมา และ "ปัญญาสากล"
จากองค์ความรู้สมัยใหม่ ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของการฟื้นฟูลิ้นจี่เมืองจัง
พลังขับเคลื่อนจากระดับบุคคล กรณีศึกษาจากคุณอันยอง เบญญาภา ขัติยะ
เรื่องราวการฟื้นฟูเริ่มต้นจาก คุณเบญญาภา ขัติยะ
เกษตรกรรุ่นใหม่ที่เกือบจะโค่นสวนลิ้นจี่ของบรรพบุรุษทิ้ง
แต่จุดเปลี่ยนทางอารมณ์ที่สำคัญ (Critical Emotional Inflection Point)
เกิดขึ้นเมื่อเธอได้เห็น "น้ำตาของคุณพ่อ"
ขณะเสนอให้โค่นต้นลิ้นจี่ที่ท่านรัก
เหตุการณ์นั้นได้เปลี่ยนความผูกพันส่วนตัวที่ซ่อนอยู่ให้กลายเป็นแรงจูงใจเชิงเศรษฐกิจที่ต้องลงมือทำ
ก้าวแรกคือการเข้าร่วมอบรมหลักสูตร CBMC (Community Business Model Canvas)
ซึ่งเป็นกรอบการวินิจฉัยและวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่เปิดโอกาสให้เธอได้วิเคราะห์ศักยภาพและดึง
"เสน่ห์" ของทุนธรรมชาติที่มีอยู่ออกมาสร้างเป็นแผนธุรกิจเพื่อชุมชน
บทบาทของสถาบันการศึกษาในการสร้างนวัตกรชุมชน การเดินทางของคุณอันยองได้นำพาเธอไปพบกับ ผศ.ดร.วิไลพร จันทร์ไชย (อาจารย์แหม่ม) จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา น่าน ซึ่งได้เข้ามาเป็นภาคีเครือข่ายสำคัญ ปรัชญาการทำงานของอาจารย์แหม่มไม่ได้เน้นการให้ความช่วยเหลือแบบครั้งคราว แต่มุ่งเน้น "การสร้างคน" และ "การสร้างนวัตกรในชุมชน" ผ่านเครื่องมือ CIBMC (Community Innovation Business Model Canvas)
ซึ่งเป็นกระบวนการที่สอนให้ชุมชนปรับกระบวนทัศน์ (Mindset)
สามารถวิเคราะห์ปัญหา สังเคราะห์แนวทาง
และหาทางแก้ไขได้ด้วยตนเองอย่างเป็นระบบ
การก่อตั้งเครือข่าย จากจุดเริ่มต้น 10 ครอบครัว หลังจากมีองค์ความรู้เป็นเครื่องนำทาง
คุณอันยองได้เริ่มสร้างเครือข่ายในชุมชน ซึ่งเป็นภารกิจที่ท้าทายอย่างยิ่ง
เพราะต้องเอาชนะความรู้สึกสิ้นหวังและความไม่เชื่อมั่นที่สั่งสมมานานหลายปี
อันเป็นผลจากวิกฤตเศรษฐกิจที่กัดกร่อนโครงสร้างทางสังคมและความไว้วางใจในการทำงานร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม ด้วยความมุ่งมั่น
ในที่สุดก็สามารถรวมกลุ่มแกนนำที่มีความตั้งใจจริงได้ประมาณ 10 ครอบครัว เพื่อร่วมกันเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่
เมื่อมีทีมที่เข้มแข็งและมีองค์ความรู้เป็นแนวทางแล้ว
ขั้นตอนต่อไปคือการนำสิ่งเหล่านี้มาปรับใช้เป็นกลยุทธ์ที่เป็นรูปธรรม
เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลิ้นจี่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
กลยุทธ์การสร้างมูลค่าเพิ่ม การปฏิวัติสู่ "ลิ้นจี่พรีเมียม" หัวใจของการฟื้นฟูคือ การเปลี่ยนกระบวนทัศน์เชิงกลยุทธ์ (Strategic Paradigm Shift)
จากโมเดลที่มุ่งเน้นการผลิต (Production-Centric)
ไปสู่โมเดลที่มุ่งเน้นคุณค่า (Value-Centric)
โดยเปลี่ยนสถานะของลิ้นจี่จากสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity)
ที่แข่งขันด้านราคา ไปสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (High-Value Product)
ที่แข่งขันด้วยคุณภาพและคุณค่าที่ส่งตรงถึงผู้บริโภค
การยกระดับคุณภาพผลผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ เป้าหมายหลักคือการผลิต "ลิ้นจี่พรีเมียม" จากลิ้นจี่พันธุ์ค่อมซึ่งมีคุณลักษณะเด่นคือ เนื้อหนา เมล็ดเล็ก รสชาติหวาน หอม และกรอบ โดยมีคำมั่นสัญญาต่อแบรนด์ที่ชัดเจนที่สุดคือ "หยิบลูกไหนต้องอร่อยทุกลูก" ซึ่งสะท้อนถึงมาตรฐานคุณภาพที่สม่ำเสมอและเข้มงวด ผ่านการนำนวัตกรรมทางการเกษตรเข้ามาจัดการสวนอย่างเป็นระบบ
นำองค์ความรู้จาก มทร.ล้านนา น่าน มาใช้ในการบำรุงดินและต้น โดยเน้นการใช้ ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงสูตรเฉพาะ และ สารสกัดสมุนไพร ไล่แมลง เพื่อสร้างผลผลิตที่ปลอดภัยและมีคุณภาพสูงสุด
ริเริ่มโครงการ สร้างฝายชะลอน้ำ โดยร่วมมือกับเครือข่าย "ชมรมคนรักดิน น้ำ ป่า น่าน" เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ ซึ่งเป็นปัจจัยชี้ขาดต่อคุณภาพของผลผลิต
นวัตกรรมการแปรรูปและการจัดการผลผลิตส่วนเกิน หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญคือการพัฒนา กลุ่มผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม (Value-Added Product Portfolio)
เพื่อลดการสูญเสียและสร้างรายได้จากผลผลิตที่ไม่ผ่านเกรดพรีเมียม
ซึ่งสะท้อนปรัชญา "การสูญเสียเป็นศูนย์" (Zero-Waste)
โดยมีผลิตภัณฑ์ต้นแบบดังนี้
ลิ้นจี่อบแห้ง ลิ้นจี่แผ่น น้ำลิ้นจี่ คุกกี้ลิ้นจี่ (ขนมคุกกี้ทองเสน่หาลิ้นจี่) นอกจากนี้ ยังมีวิสัยทัศน์ในการต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในอนาคต เช่น ไวน์ หรือ ไซเดอร์ เพื่อขยายโอกาสทางการตลาดให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
กลยุทธ์การตลาดและการสร้างแบรนด์ กลุ่มเกษตรกรได้ฉีกกรอบการขายส่งแบบเดิม
มาสู่การสร้างแบรนด์พรีเมียมที่สื่อสารคุณค่าและความใส่ใจในทุกขั้นตอน
โดยมีแนวคิดการบรรจุและจำหน่ายที่ชัดเจน เช่น บรรจุกล่องละ 24 ลูก ในราคา 99 บาท ซึ่งเป็นการขายคุณค่ามากกว่าปริมาณ สำหรับช่องทางการติดต่อและจำหน่ายได้ใช้ประโยชน์จากสื่อสังคมออนไลน์ผ่านเพจ Facebook "มีดี เมืองจัง" และ "อันยอง ลิ้นจี่ของดีเมืองจัง"
แม้กลยุทธ์จะมีความชัดเจน
แต่การนำไปสู่การปฏิบัติจริงยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายอีกหลายประการ
ซึ่งการก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านี้คือบทพิสูจน์ความเข้มแข็งของชุมชน
ความท้าทายและปัจจัยสู่ความสำเร็จ ทุกเส้นทางของการเปลี่ยนแปลงย่อมประกอบด้วยอุปสรรคและความท้าทาย
การวิเคราะห์ปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้เข้าใจถึงกุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนของโครงการฟื้นฟูลินจี่เมืองจัง
การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของเกษตรกร ความท้าทายที่สำคัญที่สุดในช่วงแรกคือ การเอาชนะความไม่เชื่อมั่นและความท้อแท้
ที่ฝังรากลึกในใจเกษตรกรมานานหลายปี
อาจารย์แหม่มได้ใช้วิธีการสร้างความไว้วางใจอย่างค่อยเป็นค่อยไป
โดยเริ่มจากการทดลองในพื้นที่เล็กๆ เพียง 21 ต้น
เพื่อพิสูจน์ให้เห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
เมื่อเกษตรกรเห็นว่าแนวทางใหม่สามารถสร้างผลผลิตที่มีคุณภาพดีขึ้นได้จริง
ความเชื่อมั่นจึงเกิดขึ้นและนำไปสู่การขยายผลในวงกว้าง
ความท้าทายด้านการตลาดและทรัพยากร แม้จะมีความก้าวหน้าอย่างมาก แต่กลุ่มเกษตรกรยอมรับว่า "การตลาด"
ยังคงเป็นจุดที่ต้องเรียนรู้และพัฒนาต่อไป
เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ควบคู่ไปกับปัญหาเชิงโครงสร้างอย่าง "น้ำ" ที่ยังคงเป็นปัจจัยท้าทายสำคัญต่อการทำเกษตร ซึ่งกลุ่มได้พยายามแก้ไขผ่านการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือจากภายนอก
จิตสำนึกเกษตรกร รากฐานของความยั่งยืน รากฐานของความยั่งยืนที่แท้จริงอยู่ที่ "ความซื่อสัตย์และจิตสำนึก"
ของผู้ผลิต ตามมุมมองของเกษตรกรแกนนำ
การรักษามาตรฐานคุณภาพอย่างสม่ำเสมอคือปัจจัยชี้ขาดที่จะสร้างความไว้วางใจจากตลาด
กระบวนการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ที่ยากลำบากในช่วงแรกนั้น
ถือเป็นปัจจัยตั้งต้นที่จำเป็นต่อการบ่มเพาะจิตสำนึกของผู้ผลิต
เพราะความมุ่งมั่นในคุณภาพจะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากความเชื่อมั่นในคุณค่าของมันเสียก่อน
การที่ชุมชนสามารถระบุและพยายามก้าวข้ามความท้าทายเหล่านี้ได้
กลายเป็นบทเรียนอันล้ำค่าที่นำไปสู่ข้อสรุปและแนวทางการพัฒนาที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
เรามาช่วยกันถอดบทเรียน กับ 5 บทเรียนจากสวนลิ้นจี่เมืองน่าน พลิกวิกฤตราคาตกต่ำสู่ผลไม้พรีเมียมด้วยน้ำตาและนวัตกรรมกันครับ ภาพของเกษตรกรไทยที่ต้องเผชิญกับวิกฤตราคาผลผลิตตกต่ำจนน่าใจหาย
ไม่ใช่เรื่องใหม่
หลายครั้งเรื่องราวเหล่านี้จบลงด้วยการโค่นทิ้งพืชผลที่บรรพบุรุษปลูกมากับมือ
สวนผลไม้ที่เคยเป็นดั่งหัวใจของครอบครัวกลับกลายเป็นภาระที่หนักอึ้ง
การตัดสินใจเช่นนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจ
แต่ยังหมายถึงการสูญเสียตัวตน อัตลักษณ์
และมรดกของท้องถิ่นไปอย่างน่าเสียดาย
แต่ท่ามกลางกระแสธารแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้
ยังมีเรื่องราวที่สวนทางและสร้างแรงบันดาลใจ
เรื่องราวของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกลิ้นจี่ในตำบลเมืองจัง จังหวัดน่าน
พวกเขาไม่เพียงแต่รอดพ้นจากวิกฤต
แต่ยังสามารถพลิกฟื้นสวนลิ้นจี่ของบรรพบุรุษให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
นี่คือเรื่องราวที่ไม่ใช่แค่การเอาตัวรอด
แต่คือการฟื้นคืนชีพที่ขับเคลื่อนด้วยส่วนผสมที่ไม่คาดคิด
ทั้งประวัติศาสตร์ส่วนตัว ความร่วมมือของชุมชน และกระบวนการคิดเชิงนวัตกรรม
บทความนี้จะกลั่น 5 บทเรียนที่ทรงพลังที่สุดจากการเดินทางของพวกเขากันครับ
จุดเปลี่ยนไม่ได้มาจากวิกฤตเศรษฐกิจ แต่มาจาก "น้ำตาของพ่อ" เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากเกษตรกรหญิงคนหนึ่ง
คุณอันยอง เบญญาภา ขัติยะ ในช่วงที่ลิ้นจี่เผชิญวิกฤตราคาตกต่ำ
เหลือเพียงกิโลกรัมละ 7-8 บาท ซึ่งไม่คุ้มแม้แต่ค่าแรงงาน
เธอเองก็เป็นหนึ่งในเกษตรกรจำนวนมากที่ตัดสินใจจะโค่นต้นลิ้นจี่ทิ้ง
เพื่อเปลี่ยนไปปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นที่ให้รายได้ดีกว่าแต่ต้นลิ้นจี่เหล่านี้ไม่ใช่แค่ต้นไม้ธรรมดา
มันคือมรดกตกทอดที่เริ่มต้นจากคุณปู่ผู้ปลูกไว้เพียง 3 ต้น
ก่อนที่คุณพ่อของเธอจะทุ่มเททั้งชีวิตขยายพันธุ์จนกลายเป็นสวนใหญ่กว่า 100
ต้น ในวินาทีที่คุณอันยองกำลังจะลงมือโค่น
เธอได้เห็นน้ำตาของผู้เป็นพ่อที่หลั่งรินออกมาเพราะความรักและความผูกพันที่มีต่องานทั้งชีวิตของท่าน
ภาพนั้นคือจุดเปลี่ยนที่แท้จริง ไม่ใช่การคำนวณทางธุรกิจ
แต่เป็นพลังทางอารมณ์ที่เปลี่ยนความตั้งใจจากการทำลายล้างมาสู่การปกป้อง
อาวุธลับไม่ใช่ปุ๋ยสูตรใหม่ แต่คือ "โมเดลธุรกิจ" ที่เปลี่ยนวิธีคิด เมื่อตัดสินใจจะรักษาทั้งสวนไว้
คำถามใหม่ที่ท้าทายกว่าเดิมก็ดังขึ้นมา แล้วจะทำอย่างไร?
ทางออกไม่ได้มาในรูปแบบของเทคโนโลยีการเกษตรที่คุ้นเคย
แต่มาพร้อมกับอาจารย์แหม่ม (ผศ.ดร.วิไลพร จันทร์ไชย)
ผู้เชี่ยวชาญที่เข้ามาทำงานร่วมกับชุมชน อย่างไรก็ตาม
การมาถึงของท่านไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาแบบทันทีทันใด
ในช่วงแรกชุมชนที่เหนื่อยล้าจากโครงการของคนนอกที่เคยล้มเหลว
ต่างเต็มไปด้วยความกังขาจนอาจารย์แหม่มเองเกือบจะถอดใจ
อาวุธที่อาจารย์แหม่มนำมาด้วยคือ
CIBMC (Community Innovation Business Model Canvas)
ซึ่งไม่ใช่สูตรสำเร็จมหัศจรรย์
แต่เป็นกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบที่บังคับให้เกษตรกรต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิด
(Mindset) ครั้งใหญ่ จากเดิมที่เป็นเพียง "ผู้ผลิต" ที่รอคอยพ่อค้าคนกลาง
ก็เปลี่ยนมาเป็น "นักธุรกิจ" ที่ต้องวิเคราะห์ปัญหาของตนเอง
ระบุจุดแข็งที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น "ทุนธรรมชาติ" ที่มีอยู่แล้วในพื้นที่
กำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้ชัดเจน และสร้างแผนธุรกิจขึ้นมาด้วยตัวเอง
นวัตกรรมที่แท้จริงจึงไม่ใช่เทคโนโลยีในไร่สวน
แต่คือการเปลี่ยนมุมมองและวิธีคิดของคนในชุมชนนั่นเอง
กลยุทธ์สู้ราคาตกต่ำ "ขายให้น้อยลง แต่ได้เงินมากขึ้น" จากกระบวนการคิดแบบใหม่
นำมาซึ่งกลยุทธ์ทางธุรกิจที่สวนทางกับความเชื่อเดิมๆ โดยสิ้นเชิง
จากเดิมที่ต้องเผชิญกับการขายลิ้นจี่ปริมาณมากในราคาถูกจนขาดทุน
พวกเขาเปลี่ยนมาสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เรียกว่า "ลิ้นจี่พรีเมียม"
โดยคัดสรรลิ้นจี่พันธุ์ค่อมซึ่งมีคุณสมบัติเด่นคือ หวาน หอม กรอบ
เนื้อในหนา และเม็ดในเล็ก
โมเดล
"พรีเมียม" คือการคัดเลือกลิ้นจี่คุณภาพดีที่สุด
บรรจุลงในกล่องที่ออกแบบมาอย่างสวยงาม จำนวน 24 ลูกต่อกล่อง
และตั้งราคาขายไว้ที่ 99 บาท แต่ที่น่าทึ่งกว่านั้นคือ
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบธุรกิจที่ครบวงจร
ลิ้นจี่ที่ไม่ผ่านมาตรฐานพรีเมียมจะถูกขายเป็นเกรดรอง
ส่วนที่เหลือจะถูกนำไปแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นลิ้นจี่อบแห้งและน้ำลิ้นจี่
กลยุทธ์นี้คือการพาตัวเองออกจากตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ที่แข่งกันด้วยราคา
ไปสู่ตลาดเฉพาะกลุ่มที่ลูกค้าพร้อมจะจ่ายเงินให้กับสินค้าที่มีคุณภาพ
ปลอดภัย และมีเรื่องราวที่น่าสนใจ
พร้อมกับสร้างระบบจัดการผลผลิตทั้งสวนแบบไร้ของเสีย
เป้าหมายสูงสุดไม่ใช่แค่ลิ้นจี่ที่ดีขึ้น แต่คือการสร้าง "นวัตกรชุมชน" อาจารย์แหม่มไม่ได้มองแค่การแก้ปัญหาลิ้นจี่ราคาตกต่ำเป็นเป้าหมายสุดท้าย
แต่มองไปไกลกว่านั้น
คือการสร้างศักยภาพให้ชุมชนยืนหยัดได้ด้วยตัวเองในระยะยาว โดยใช้คำว่า
"นวัตกร" เพื่ออธิบายเป้าหมายที่แท้จริงของโครงการ
โครงการนี้ไม่ได้มุ่งเน้นแค่การให้ความรู้
แต่เป็นการสร้าง "นวัตกรชุมชน"
ที่สามารถคิดและสร้างสรรค์ทางออกเพื่อแก้ปัญหาของตัวเองได้
ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมคือการสอนให้เกษตรกรผลิตปัจจัยการผลิตที่สำคัญอย่างปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง
ฮอร์โมนบำรุงทางใบ
และสารสกัดสมุนไพรควบคุมแมลงได้เองจากวัตถุดิบในท้องถิ่น
สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยลดต้นทุน
แต่ยังได้พัฒนาจนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สร้างรายได้อีกทางหนึ่ง
เป็นการพิสูจน์แนวคิดการพึ่งพาตนเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ
พวกเขาไม่ได้เป็นแค่ชาวสวนอีกต่อไป
แต่เป็นผู้สร้างนวัตกรรมที่ขายโซลูชันทางการเกษตรด้วย
พลังขับเคลื่อนที่คาดไม่ถึง "ปมในใจวัยเด็ก" สู่การปฏิวัติสวนผลไม้ ท้ายที่สุด
เรื่องราวได้วนกลับมาที่จุดเริ่มต้นส่วนตัวของคุณอันยอง
ซึ่งเป็นพลังขับเคลื่อนที่ลึกซึ้งและคาดไม่ถึง เธอเล่าถึง "ปม"
ในวัยเด็กที่ไม่เคยมีโอกาสได้ไปเที่ยว "งานลิ้นจี่ของดีเมืองจัง"
ซึ่งเคยเป็นงานประจำปีที่โด่งดังและยิ่งใหญ่ ได้แต่ฟังเรื่องเล่าจากเพื่อนๆ
ถึงความสนุกสนานและบรรยากาศที่คึกคักของการประกวด "ธิดาลิ้นจี่"
งานเทศกาลในความทรงจำนั้นเป็นสัญลักษณ์ของยุคที่ลิ้นจี่คือความภาคภูมิใจและหัวใจทางเศรษฐกิจของตำบล
แต่เมื่อเธอเติบโตพอที่จะไปเที่ยวงานด้วยตัวเองได้
งานเทศกาลนั้นและความรุ่งเรืองของลิ้นจี่ก็ได้เลือนหายไปพร้อมกับวิกฤตราคาตกต่ำ
ความรู้สึกสูญเสียและความปรารถนาที่จะฟื้นฟูอัตลักษณ์ของชุมชนที่ผูกพันกับความทรงจำในวัยเด็ก
ได้กลายเป็นเชื้อเพลิงที่ทรงพลัง
ความฝันที่จะเห็นคุณค่าของลิ้นจี่กลับมายิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรี "ธิดาลิ้นจี่"
อีกครั้ง
คือแรงผลักดันเบื้องหลังการสร้างสรรค์ลิ้นจี่เกรดพรีเมียมที่เปี่ยมด้วยคุณภาพและเรื่องราว
เรามาสรุปถอดบทเรียนลิ้นจี่เมืองจัง สู่การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนที่ยั่งยืนกันครับ กรณีศึกษาการพลิกฟื้นลิ้นจี่เมืองจังได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของชุมชนในการเปลี่ยนผ่านจากวิกฤตสู่โอกาสได้อย่างน่าประทับใจ
จากปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกือบทำให้มรดกท้องถิ่นต้องสูญสิ้น
ไปสู่การสร้างโมเดลธุรกิจชุมชนที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและความร่วมมือ
บทเรียนสำคัญที่สามารถกลั่นกรองออกมาเป็น กรอบการทำงานที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ (Replicable Framework) สำหรับชุมชนอื่นๆ มีดังนี้
พลังของผู้นำการเปลี่ยนแปลง (The Power of Change Agents)
การเปลี่ยนแปลงมักเริ่มต้นจากบุคคลหรือกลุ่มคนเล็กๆ
ที่มีความมุ่งมั่นและไม่ยอมแพ้ต่อปัญหา
ซึ่งสามารถจุดประกายและเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนให้เกิดการรวมกลุ่มและความร่วมมือได้
ความร่วมมือระหว่างปัญญาท้องถิ่นและปัญญาสากล (Collaboration between Local and Universal Wisdom) ความสำเร็จเกิดจากการผสานภูมิปัญญาดั้งเดิมของเกษตรกร
เข้ากับองค์ความรู้ทางวิชาการและนวัตกรรมจากสถาบันการศึกษา
ซึ่งช่วยยกระดับกระบวนการผลิตและการจัดการให้เป็นระบบ
การเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตมูลค่าสูง (Transitioning to High-Value Production) การปรับกระบวนทัศน์จากการผลิตเชิงปริมาณที่แข่งขันด้านราคา
ไปสู่การผลิตเชิงคุณภาพที่เน้นความปลอดภัยและส่งมอบคุณค่าที่แตกต่าง
คือกุญแจสำคัญในการหลุดพ้นจากวงจรปัญหาราคาตกต่ำ
การสร้างคนเพื่อความยั่งยืน (Building People for Sustainability) เป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาไม่ใช่แค่การสร้างผลิตภัณฑ์ แต่คือ "การสร้างคน"
การมอบเครื่องมือทางความคิดและทักษะที่จำเป็น
ช่วยให้คนในชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
เรื่องราวของลิ้นจี่เมืองจังไม่ใช่แค่ความสำเร็จเฉพาะพื้นที่ แต่คือ พิมพ์เขียวสำหรับการสร้างเศรษฐกิจชนบทมูลค่าสูงที่ยืดหยุ่น (Blueprint for Building Resilient, High-Value Rural Economies) ที่ชุมชนอื่นสามารถนำไปปรับใช้ได้ จากความสำเร็จนี้ ชุมชนยังมีศักยภาพในการขยายผลแนวคิดไปยังผลผลิตอื่นๆ เช่น มะม่วง ลำไย หรือเงาะ เพื่อสร้างระบบนิเวศเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและหลากหลาย ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ความร่วมมือ และความภาคภูมิใจจากรากฐานของชุมชนนั้นเองครับ...
ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย AM 1467 KHz วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 – 19.00 น.
ลิ้นจี่ เชื่อมร้อยอัตลักษณ์ผลไม้ไทย ผสานเศรษฐกิจชุมชนพลังบวก ตอน 1 ลิ้นจี่ เชื่อมร้อยอัตลักษณ์ผลไม้ไทย ผสานเศรษฐกิจชุมชนพลังบวก ตอน 2
หมายเหตุ : เนื้อหาหลักของบทความนี้สังเคราะห์และวิเคราะห์จากการพูดคุยของ คุณ อันยอง เบญญาภา ขัติยะ คุณ โสภา ทวีพันธ์ ผศ.ดร.วิไลพร จันทร์ไชย และ คุณ วรปรัชญ์ สมประเสริฐ ในหัวข้อ “ลิ้นจี่ เชื่อมร้อยอัตลักษณ์ผลไม้ไทย ผสานเศรษฐกิจชุมชนพลังบวก” จากรายการ “คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน” EP.53 หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ.
เรียบเรียง/บทความโดย ครูพี่ลี ดลรวี ภัทรกุลพิมล โปรดิวเซอร์ รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน
คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน
รายการที่จะนำคุณไปสัมผัสกับ อัตลักษณ์ท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย
เศรษฐกิจพอเพียง และแนวคิดดีๆ จากบุคคลต้นแบบ ปราชญ์ชาวบ้าน
เพื่อเป็นพลังสรรค์สร้าง คุณภาพชีวิตทีดี อย่างยั่งยืน
ออกอากาศทาง สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย วิทยุเพื่อการเรียนรู้และเตือนภัย ภาคกลาง AM 1467 KHz ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ ออกอากาศทางช่องทาง Live Streaming ผ่าน Facebook Live "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ สามารถมารับชมย้อนหลังผ่านทาง Youtube ช่อง "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน " ได้อีกช่องทางหนึ่ง... เพจ & Youtube : รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน
เกี่ยวกับเรา : รายการ "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" เราคือใคร?
ป.ล.
หากบทความนี้มีประโยชน์ ฝากช่วยกันแชร์ บทความนี้ส่งต่อๆ
ออกไปสู่กลุ่มผู้คนวงกว้างให้ได้รับคุณประโยชน์... แบ่งปันความรู้ดีๆ
กันนะครับ หนึ่งความรู้ หนึ่งความคิดดีๆ อาจจะเปลี่ยน ช่วยเหลือ ผู้คน
และสังคมได้นะครับ และที่สำคัญสิ่งเล็กๆ
ที่ท่านทำในวันนี้สามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดียิ่งขึ้นได้
ขอขอบคุณทุกท่านจากหัวใจ ไว้ ณ โอกาสนี้นะครับ...
แล้วกลับมาพบกันใหม่ในบทความต่อๆไปนะครับผม ^_^