4 เรื่องจริงน่าทึ่งของ “ธรรมาภิบาล” ที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้!

 


4 เรื่องจริงน่าทึ่งของ "ธรรมาภิบาล" ที่คุณอาจไม่เคยรู้จากที่ไหนมาก่อน

คำว่า "ธรรมาภิบาล" (Good Governance) อาจฟังดูเป็นคำใหญ่ เป็นศัพท์เชิงวิชาการที่ดูเหมือนจะลอยอยู่ไกลตัวเรา และเกี่ยวข้องกับแค่นักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูงเท่านั้น หลายคนอาจรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและยากจะเข้าใจแต่เบื้องหลังคำศัพท์ที่ดูเป็นทางการนี้ กลับมีเรื่องราวเบื้องลึกที่น่าประหลาดใจ เต็มไปด้วยแง่มุมที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรม รากเหง้า และชีวิตประจำวันของเราอย่างคาดไม่ถึง มันไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมายหรือโครงสร้างการบริหารประเทศ แต่เป็นเรื่องที่เริ่มต้นจากจุดที่เล็กที่สุด นั่นคือ "หัวใจ" ของคนแต่ละคน

บทความนี้ผมจะพาท่านออกเดินทางไปค้นพบ 4 ประเด็นน่าทึ่งที่สรุปจากการสนทนากับ
พลเอก ดร. กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ เลขาธิการเครือข่ายธรรมาภิบาลแห่งชาติ เพื่อเปิดมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับธรรมาภิบาล ที่จะทำให้คุณเห็นว่าเรื่องนี้ใกล้ตัวและสำคัญกว่าที่เคยคิด

1. "ประชาธิปไตย" และ "วินัย" ไม่ใช่ของนำเข้า แต่มีอยู่ในวัฒนธรรมไทยมาแต่โบราณ

 

หลายครั้งที่เรามักได้ยินการเปรียบเทียบสังคมไทยกับชาติตะวันตกในเรื่องประชาธิปไตย หรือกับญี่ปุ่นในเรื่องระเบียบวินัย จนเกิดความคิดฝังใจว่าสิ่งเหล่านี้คือแนวคิดที่ต้อง "นำเข้า" มาปรับใช้ แต่ พล.อ. ดร. กิตติศักดิ์ ชวนให้เราพลิกมุมมองและขุดค้นสมบัติทางวัฒนธรรมที่ถูกมองข้ามไป ท่านชี้ว่าเรามักจะ "บ้าฝรั่ง" จนลืมไปว่าหลักการสำคัญเหล่านี้ซ่อนอยู่ในรากเหง้าของเรามาเนิ่นนาน

ด้านประชาธิปไตย : ลองนึกถึงประเพณีการ "ชักผ้าป่ากฐิน" ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา เมื่อมีผ้ากฐินเกิดขึ้นท่ามกลางหมู่สงฆ์ คณะสงฆ์จะพิจารณาร่วมกันและลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าพระภิกษุรูปใดเหมาะสมที่จะได้รับผ้าผืนนั้น นี่คือกระบวนการประชาธิปไตยทางตรงที่บริสุทธิ์และงดงามซึ่งแฝงอยู่ในประเพณีของเรา

ด้านระเบียบวินัย : เราชื่นชมการเข้าคิวของคนญี่ปุ่น แต่กลับมองข้ามแบบอย่างที่ใกล้ตัวที่สุด นั่นคือ วินัยสงฆ์ ภาพของการเข้าแถวบิณฑบาตอย่างเป็นระเบียบ หรือการนั่งตามลำดับอาวุโส (พรรษา) ล้วนเป็นภาพสะท้อนของวินัยที่เคร่งครัดซึ่งมีอยู่ในสังคมไทยมาตลอด

"เราเนี่ย มีวินัยก่อนเขาอีกครับ แต่เราไม่ดู ไม่ดูตัวอย่างของ เราเอง คืออะไรไหมครับ เรื่องวินัย เรื่องเข้าคิว พระแซงคิวไหมครับ พระบิณฑบาตแซงคิวไหมครับ พระนั่งตามพรรษาไหมครับ เห็นไหมฮะ"
บทเรียนที่ซ่อนอยู่ในประเพณีอันเรียบง่ายนี้คือ การหันกลับมามองเห็นและภาคภูมิใจในภูมิปัญญาดั้งเดิม อาจเป็นกุญแจสำคัญดอกแรกในการสร้างสังคมที่มีธรรมาภิบาลอย่างยั่งยืน โดยไม่ต้องรอรับแนวคิดจากที่อื่น

2. เบื้องหลังการคอร์รัปชันที่น่าตกใจ เมื่อ "ค่าคอมมิชชัน" พุ่งสูงถึง 50-70%

 

ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันเป็นสิ่งที่ทุกคนรับรู้ แต่เบื้องลึกของปัญหานั้นรุนแรงกว่าที่หลายคนคาดคิด พล.อ. ดร. กิตติศักดิ์ ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า ปัญหาการเรียกรับเงินใต้โต๊ะในโครงการภาครัฐนั้นทวีความรุนแรงถึงขั้นมีการเรียกรับสูงถึง 50% หรือแม้กระทั่ง 70% ของมูลค่าโครงการ ซึ่งสูงกว่า "ค่าคอมมิชชัน" ที่ภาคธุรกิจเคยจ่ายกันในอดีตที่ราว 10-20% อย่างมหาศาลสิ่งที่มุมมองนี้เผยให้เห็นคือความจริงที่ซับซ้อนและน่าอึดอัดใจเบื้องหลังการก่อตั้งองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันขนาดใหญ่บางแห่ง ไม่ได้เกิดขึ้นจากอุดมการณ์อันบริสุทธิ์เพียงอย่างเดียว

แต่มีแรงผลักดันสำคัญมาจากการที่ภาคธุรกิจ "ทนไม่ไหว" กับการถูกรีดไถในอัตราที่สูงเกินจะรับได้ การตั้งองค์กรขึ้นมาจึงเปรียบเสมือนการสร้าง
"เครื่องมือต่อรอง" เพื่อเจรจาให้การจ่ายเงินใต้โต๊ะกลับมาอยู่ในระดับที่ "สมเหตุสมผล" มากกว่าที่จะขจัดให้หมดไป"ที่นี้ปรากฏว่า ภาครัฐที่โกงเนี่ย มันไม่เอา 20-30% แล้วครับ มันเอา 50% เลย โอ้โห มันเรียกทีนึง 70% เลย... ไอ้ นี่ ก็เลยตั้ง ไอ้ตัวนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องต่อรอง"

นี่คือภาพสะท้อนของวงจรการทุจริตที่ฝังรากลึกและบิดเบี้ยว จนแม้กระทั่งการลุกขึ้นต่อสู้ก็ยังมีแรงจูงใจที่ซับซ้อน มันแสดงให้เห็นถึงวิกฤตการณ์ทางธรรมาภิบาลที่กัดกินสังคมลึกกว่าที่หลายคนเคยจินตนาการไว้

3. ปัญหาไม่ใช่ขาดหน่วยงานปราบโกง แต่คือการมี "มากเกินไป" จนสับสน

 

เมื่อพูดถึงการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน คนส่วนใหญ่มักนึกถึงการตั้งหน่วยงานขึ้นมาปราบปราม แต่จากการสะท้อนมุมมองของ คุณหมอสมส่วน บูรณพงษ์ ซึ่งทำงานใกล้ชิดกับภาคประชาสังคม กลับพบความจริงที่น่าประหลาดใจว่า ประเทศไทยมี "หน่วยงานปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่นมากเกินไป"
การมีองค์กรจำนวนมาก เช่น ป.ป.ช., ป.ป.ท. และองค์กรภาคประชาสังคมต่างๆ แต่กลับทำงานแบบ "ต่างคนต่างทำ"

และขาดการบูรณาการอย่างแท้จริง ได้สร้างปัญหาใหม่ขึ้นมา นั่นคือความสับสนและไร้ประสิทธิภาพ ประชาชนที่เดือดร้อนไม่รู้ว่าจะต้องไปพึ่งพาหน่วยงานใดเป็นหลัก ทำให้กระบวนการตรวจสอบล่าช้าและไม่เป็นเอกภาพ เปรียบเสมือนการขาดระบบ
"one stop service" ที่จะจัดการปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จ

"หน่วยงานปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันมันไม่ใช่ one stop service คือเป็นจุดเดียวแล้วก็... คุณจะมีหลายองค์กรก็ไม่ได้ว่านะ แต่ว่ามันต้องบูรณาการ หันมานั่งคุยกัน จับไม้จับมือกัน"
ประเด็นนี้ชี้ให้เห็นว่า การแก้ปัญหาคอร์รัปชันอาจไม่ใช่แค่การเพิ่มกฎหมายหรือตั้งหน่วยงานใหม่ แต่หัวใจสำคัญคือการ "บูรณาการ" การทำงานของหน่วยงานที่มีอยู่ให้มีทิศทางเดียวกัน สร้างกลไกที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การต่อสู้กับการทุจริตเป็นไปอย่างมีพลังและเป็นระบบอย่างแท้จริง

4. ทางออกของปัญหา อาจเรียบง่ายแค่การเริ่มต้นที่ "คุณธรรม 4 ประการ" ในตัวเรา

 

ท่ามกลางปัญหาเชิงโครงสร้างมหภาคที่ดูใหญ่และซับซ้อน พล.อ. ดร. กิตติศักดิ์ กลับชี้ไปยังทางออกที่เล็กที่สุดแต่ทรงพลังที่สุด นั่นคือการกลับมาเริ่มต้นที่ "ตัวเราเอง" โดยยึดหลัก "คุณธรรม 4 ประการ" ตามพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติที่ทุกคนสามารถเข้าใจและนำไปใช้ได้ทันที

คุณธรรม 4 ประการ ประกอบด้วย
1. สัจจะ: ความจริงใจต่อตนเองและผู้อื่น
2. ธรรมะ: การรู้จักข่มใจตนเองไม่ให้ทำผิด
3. ขันติ: ความอดทนต่อความยากลำบาก ไม่ท้อถอย
4. จาคะ: การรู้จักเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อส่วนรวม

หลักการนี้ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดลอยๆ แต่เคยถูกรณรงค์อย่างเป็นรูปธรรมผ่าน "เพลงคุณธรรม 4 ประการ" ที่แต่งขึ้นในปี 2525 เพื่อปลูกฝังคุณค่าเหล่านี้ให้หยั่งรากลึกในสังคม พล.อ. ดร. กิตติศักดิ์ ยืนยันว่าหลักการเหล่านี้คือเคล็ดลับความสำเร็จในชีวิตราชการของท่าน

เป็นเครื่องมือในการบริหารตน บริหารคน และบริหารงาน ท่านย้ำว่าความพยายามใดๆ ในการแก้ไขเชิงโครงสร้างนั้น ล้วนแต่จะล่มสลายหากปราศจากรากฐานที่มั่นคงซึ่งก็คือความซื่อสัตย์สุจริตของแต่ละบุคคล
 
 


บทสรุป : จากการเดินทางสำรวจทั้ง 4 ประเด็น เราจะเห็นได้ว่า "ธรรมาภิบาล" ไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมาย โครงสร้าง หรือตัวชี้วัดที่ซับซ้อน แต่เป็นเรื่องที่หยั่งรากลึกอยู่ในวัฒนธรรม ความเข้าใจในรากเหง้าของตนเอง การบูรณาการความร่วมมือ


และที่สำคัญที่สุดคือการเริ่มต้นบ่มเพาะคุณธรรมจากภายในใจของแต่ละคนบทสนทนากับ พล.อ. ดร. กิตติศักดิ์ ทิ้งบทสรุปที่คมคายแต่เปี่ยมด้วยความหวังไว้ให้เรา: พลังในการฟื้นฟูสังคมไม่ได้อยู่เพียงในมือของคณะกรรมการหรือองค์กรใดๆ แต่อยู่ในการตัดสินใจที่เงียบงันแต่หนักแน่นของเราในทุกๆ วัน
 
 
"เมื่อศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ... แล้ววันนี้ เราได้เริ่มต้นสร้าง 'พลังธรรมาภิบาล' จากจุดเล็กๆ ในตัวเรา เพื่อเป็นสะพานเชื่อมศีลธรรมสู่การปฏิบัติจริงแล้วหรือยัง?"

 

เรียบเรียง/บทความโดย ครูพี่ลี ดลรวี ภัทรกุลพิมล
โปรดิวเซอร์ รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน

คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน รายการที่จะนำคุณไปสัมผัสกับ อัตลักษณ์ท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย เศรษฐกิจพอเพียง และแนวคิดดีๆ จากบุคคลต้นแบบ ปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อเป็นพลังสรรค์สร้าง คุณภาพชีวิตทีดี อย่างยั่งยืน

  • ออกอากาศทาง สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย วิทยุเพื่อการเรียนรู้และเตือนภัย ภาคกลาง AM 1467 KHz ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ
  • ออกอากาศทางช่องทาง Live Streaming ผ่าน Facebook Live "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ
  • สามารถมารับชมย้อนหลังผ่านทาง Youtube ช่อง "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ได้อีกช่องทางหนึ่ง...

เพจ & Youtube : รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน

เกี่ยวกับเรา : รายการ "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" เราคือใคร?

ป.ล. หากบทความนี้มีประโยชน์ ฝากช่วยกันแชร์ บทความนี้ส่งต่อๆ ออกไปสู่กลุ่มผู้คนวงกว้างให้ได้รับคุณประโยชน์... แบ่งปันความรู้ดีๆ กันนะครับ หนึ่งความรู้ หนึ่งความคิดดีๆ อาจจะเปลี่ยน ช่วยเหลือ ผู้คน และสังคมได้นะครับ และที่สำคัญสิ่งเล็กๆ ที่ท่านทำในวันนี้สามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดียิ่งขึ้นได้ ขอขอบคุณทุกท่านจากหัวใจ ไว้ ณ โอกาสนี้นะครับ... แล้วกลับมาพบกันใหม่ในบทความต่อๆไปนะครับผม ^_^

ความลับของ “ธรรมาภิบาล” ที่ตำราไม่เคยบอกคุณ

 

 

บทความนี้ผมได้สังเคราะห์ประเด็นสำคัญจากการเสวนาในหัวข้อ "พลังธรรมาภิบาล จากชุมชนสู่อนาคตชาติ" รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน ช่วงเสวนาแลกเปลี่ยน โดยมี พลเอก ดร. กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ เลขาธิการเครือข่ายธรรมาภิบาลแห่งชาติ เป็นวิทยากรหลัก ประเด็นสำคัญชี้ให้เห็นว่า "ธรรมาภิบาล" ซึ่งมีรากฐานมาจาก "คุณธรรม" ส่วนบุคคล

คือหัวใจสำคัญในการแก้ไขปัญหาระดับชาติ โดยเฉพาะการทุจริตคอร์รัปชันที่เปรียบเสมือน "มะเร็งร้าย" ของสังคมไทย การขับเคลื่อนต้องเริ่มต้นจากระดับบุคคล ชุมชน และขยายผลสู่ระดับชาติ โดยยึดหลักธรรมาภิบาล 6 ประการ ได้แก่ คุณธรรม, นิติธรรม, ความโปร่งใส, การมีส่วนร่วม, ความรับผิดชอบ และความคุ้มค่า ซึ่งสอดคล้องกับหลัก "คุณธรรม 4 ประการ" ของในหลวงรัชกาลที่ 9

การเสวนาได้วิเคราะห์ถึงวิกฤตการณ์คอร์รัปชันเชิงโครงสร้างของไทย ซึ่งรวมถึงคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ที่อยู่ในระดับต่ำ, ปัญหาความซ้ำซ้อนและขาดการบูรณาการของหน่วยงานปราบปรามทุจริต, และความล้มเหลวในการผลักดัน "พระราชบัญญัติสภาธรรมาภิบาลแห่งชาติ" ให้เป็นกฎหมาย อย่างไรก็ตาม

เครือข่ายภาคประชาสังคมยังคงเดินหน้าผลักดันร่างกฎหมายฉบับใหม่และริเริ่มโครงการ "จังหวัดธรรมาภิบาล" โดยมีจังหวัดสงขลาเป็นจังหวัดนำร่อง เพื่อสร้างต้นแบบการเปลี่ยนแปลงจากฐานราก ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติเน้นย้ำถึงการปลูกฝังคุณธรรมให้แก่เยาวชน และการกลับไปสู่รากฐานทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยที่มีคุณค่าด้านประชาธิปไตยและระเบียบวินัยอยู่แล้ว แทนที่จะยึดติดกับแนวคิดตะวันตกเพียงอย่างเดียว

1. แนวคิดหลักและรากฐานของธรรมาภิบาล

ธรรมาภิบาลถูกนำเสนอในฐานะหัวใจของการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเป็นแนวคิดที่ใกล้ตัวและต้องเริ่มต้นจากระดับบุคคลก่อนขยายไปสู่สังคม พลเอก ดร. กิตติศักดิ์ ได้เน้นย้ำถึงหลักการสำคัญ 2 ส่วนที่เชื่อมโยงกัน

1.1 หลักธรรมาภิบาล 6 ประการ

นี่คือกรอบการดำเนินงานที่ถูกนำมาปรับใช้ในองค์กรต่างๆ ซึ่งเป็นหลักการสากลที่เครือข่ายฯ ยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติ

1.2 คุณธรรม 4 ประการ รากฐานของธรรมาภิบาล

พลเอก ดร. กิตติศักดิ์ ชี้ว่าแก่นแท้ของธรรมาภิบาลเริ่มต้นจาก "คุณธรรม" ของแต่ละบุคคล โดยอ้างอิงถึงพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่พระราชทานไว้เมื่อครั้งสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติที่เข้าใจง่ายและเป็นรูปธรรม

สัจจะ : การยึดมั่นในความจริงและความถูกต้อง เริ่มต้นจากการบริหารตนเอง

ทมะ : การรู้จักข่มใจตนเอง ฝึกฝนตนเองในการบริหารคน

ขันติ : ความอดทน อดกลั้น เพื่อให้การบริหารงานประสบความสำเร็จ

จาคะ : การเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

ท่านเน้นย้ำว่า "ต้องเริ่มจากตัวเราเอง" การปลูกฝังคุณธรรมเหล่านี้คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดของการสร้างสังคมธรรมาภิบาล

2. วิกฤตการณ์ทุจริตคอร์รัปชันและปัญหาเชิงโครงสร้าง

การเสวนาได้สะท้อนภาพปัญหาการทุจริตในประเทศไทยอย่างเข้มข้น โดยมองว่าเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดในการพัฒนาประเทศ

สถานการณ์คอร์รัปชัน : การทุจริตถูกเปรียบเทียบว่าเป็น "มะเร็งร้าย" ของสังคม มีการกล่าวถึงตัวเลขความเสียหายจากการคอร์รัปชันที่สูงถึง 5 แสนล้านบาทต่อปี

ดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) : คุณหมอ สมส่วน บูรณพงษ์ ได้กล่าวถึงคะแนน CPI ของไทยที่อยู่ในระดับต่ำ (34 คะแนน) และเพิ่งทราบจาก พลเอก ดร. กิตติศักดิ์ ว่าเคยมีช่วงที่คะแนนสูงขึ้นถึง 3.8 (จาก 10) หรือ 38% ในปี 2548, 2557 และ 2558 เพียง 3 ครั้งเท่านั้น

ความซ้ำซ้อนของหน่วยงานปราบปราม : มีการตั้งข้อสังเกตว่าประเทศไทยมีหน่วยงานด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมากเกินไป แต่ขาดการบูรณาการ ทำให้การทำงานสับสนและไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร

แรงจูงใจที่น่ากังขาขององค์กรภาคประชาสังคมบางแห่ง: พลเอก ดร. กิตติศักดิ์ ตั้งข้อสังเกตว่าองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันบางแห่ง ถูกจัดตั้งขึ้นโดยภาคธุรกิจ ไม่ใช่เพื่อต่อต้านการทุจริตอย่างแท้จริง แต่เพื่อเป็น "เครื่องมือต่อรอง" กับภาครัฐที่เรียกรับผลประโยชน์สูงเกินกว่าที่เคยจ่าย (จาก 10-20% เป็น 50-70%)

3. ความพยายามในการจัดตั้งสภาธรรมาภิบาลแห่งชาติ

ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือความพยายามในการจัดตั้งองค์กรอิสระเพื่อตรวจสอบและประเมินธรรมาภิบาลของหน่วยงานต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม

ความล้มเหลวครั้งแรก : มีความพยายามผลักดันร่าง "พระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการธรรมาภิบาลแห่งชาติ" ซึ่งมีเนื้อหาสำคัญคือการจัดตั้ง "สภาธรรมาภิบาลแห่งชาติ"

    ◦ ร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร

    ◦ อย่างไรก็ตาม เมื่อส่งให้นายกรัฐมนตรี พิจารณา กลับถูกปฏิเสธไม่รับหลักการ

ความพยายามครั้งใหม่ : หลังจากการผลักดันครั้งแรกไม่สำเร็จ เครือข่ายฯ ได้ดำเนินการยื่นร่างกฎหมายฉบับใหม่เข้าไปยังสภาฯอีกครั้ง โดยเปลี่ยนชื่อเป็น "พ.ร.บ. ว่าด้วยสภาธรรมาภิบาลแห่งชาติ" เพื่อให้มีความชัดเจนในเจตนารมณ์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการพิจารณาของสภาฯ

4. การขับเคลื่อนธรรมาภิบาลภาคปฏิบัติและการศึกษา

นอกจากการผลักดันเชิงนโยบายแล้ว การเสวนายังได้นำเสนอแนวทางการขับเคลื่อนในระดับพื้นที่และการปลูกฝังแนวคิดสู่คนรุ่นใหม่

4.1 โครงการ "จังหวัดธรรมาภิบาล"

เป็นยุทธศาสตร์การสร้างต้นแบบจากระดับพื้นที่ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยมีแผนการดำเนินงานดังนี้

จังหวัดนำร่อง : จังหวัดสงขลา ถูกกำหนดให้เป็นจังหวัดแรกของประเทศไทยที่จะประกาศเป็น "จังหวัดธรรมาภิบาล" โดยสามารถรวบรวมตัวแทนได้ครบทั้ง 16 อำเภอแล้ว

จังหวัดเป้าหมายถัดไป : จังหวัดนครสวรรค์ และ จังหวัดลพบุรี ถูกวางตัวให้เป็นจังหวัดลำดับต่อไปในการขับเคลื่อน

4.2 การปลูกฝังในระดับเยาวชนและสังคม

คุณชิดพล ปิ่นศิริ อาจารย์มหาวิทยาลัย ได้ขอคำแนะนำในการนำหลักธรรมาภิบาลไปปรับใช้สอนนิสิตนักศึกษา ซึ่ง พลเอก ดร. กิตติศักดิ์ ได้ให้แนวทางไว้ดังนี้

เริ่มต้นด้วยคุณธรรม : ต้องเริ่มสอนจาก คุณธรรม 4 ประการ ซึ่งเป็นรากฐานที่เข้าใจง่ายและนำไปปฏิบัติได้จริง

ใช้สื่อสร้างการรับรู้ : นำเพลง "คุณธรรม 4 ประการ" มาเผยแพร่ในสถานศึกษาและชุมชนเพื่อสร้างการจดจำและซึมซับ

เน้นการปฏิบัติ : ชี้ให้เห็นว่าการยึดมั่นในคุณธรรมนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิตได้จริง โดยยกตัวอย่างจากประสบการณ์ของตนเองที่รับราชการจนได้เป็นพลเอกและประสบความสำเร็จในโครงการต่างๆ เพราะยึดหลักการเหล่านี้

4.3 การกลับสู่รากฐานวัฒนธรรมไทย

พลเอก ดร. กิตติศักดิ์ ได้วิจารณ์แนวคิด "บ้าฝรั่ง" ที่มองว่าหลักการดีๆ ต้องมาจากตะวันตกเท่านั้น โดยชี้ให้เห็นว่าสังคมไทยมีรากฐานของประชาธิปไตยและระเบียบวินัยที่ดีงามอยู่แล้ว แต่กลับถูกมองข้าม

ตัวอย่างระเบียบวินัย : การเข้าคิวบิณฑบาตของพระสงฆ์ หรือการนั่งตามลำดับพรรษา ถือเป็นต้นแบบของระเบียบวินัยที่ลึกซึ้ง

ตัวอย่างประชาธิปไตย : พิธีทอดกฐิน ที่มีการเสนอชื่อผู้ที่เหมาะสมจะได้รับผ้ากฐิน และให้สงฆ์ทั้งปวงแสดงความเห็นชอบร่วมกัน ถือเป็นกระบวนการประชาธิปไตยแบบไทยที่มีมาแต่โบราณ

5. มุมมองจากภาคประชาสังคมและผู้ร่วมเสวนา

คุณหมอ สมส่วน บูรณพงษ์ (นายกสมาคมจิตอาสาองค์กรภาคประชาสังคมลพบุรี): เน้นย้ำว่าแนวคิดของภาคประชาสังคมมักจะคล้ายคลึงกัน คือ "เริ่มต้นที่ตัวเราเอง" และเห็นด้วยกับการขับเคลื่อนธรรมาภิบาลจากฐานราก ท่านยังได้แสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมเป็นภาคีเครือข่ายธรรมาภิบาลจังหวัดลพบุรี

คุณสิริน ชีพชัยอิสสระ (อดีตกรรมการหอการค้า จ.สงขลา): ชี้ว่าภาคเอกชนมีการใช้หลัก ESG (Environment, Social, Governance) ซึ่งสอดคล้องกับธรรมาภิบาลอยู่แล้ว ท่านเน้นย้ำถึงความสำคัญของ "ความคุ้มค่า" ในการใช้งบประมาณภาครัฐ และมองว่าการใช้จ่ายอย่างไม่คุ้มค่าคือสาเหตุที่ทำให้คนรุ่นใหม่สิ้นหวัง ท่านเสนอให้ใช้ Soft Power และการลงทุนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Up-skill, Re-skill) เป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงประเทศ

คุณทรงวุฒิ (รองเลขาธิการเครือข่ายฯ): เป็นบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการทำงานภาคปฏิบัติของเครือข่ายฯ มาเกือบ 10 ปี โดยดูแลด้านเอกสาร เว็บไซต์ และการจัดกิจกรรมต่างๆ และเป็นผู้ที่ทำให้การขับเคลื่อนธรรมาภิบาลดำเนินต่อไปได้หลังจากที่หลายคนถอดใจ

รายการ "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" : ถูกกล่าวถึงในฐานะสื่อกลางของภาคประชาสังคมที่สร้างสรรค์และมีคุณค่า แต่กำลังเผชิญกับปัญหาด้านงบประมาณ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของการทำงานภาคประชาสังคมในภาพรวม

"เมื่อศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ... แล้ววันนี้ เราได้เริ่มต้นสร้าง 'พลังธรรมาภิบาล' จากจุดเล็กๆ ในตัวเรา เพื่อเป็นสะพานเชื่อมศีลธรรมสู่การปฏิบัติจริงแล้วหรือยัง?"

 

เรียบเรียง/บทความโดย ครูพี่ลี ดลรวี ภัทรกุลพิมล
โปรดิวเซอร์ รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน

คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน รายการที่จะนำคุณไปสัมผัสกับ อัตลักษณ์ท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย เศรษฐกิจพอเพียง และแนวคิดดีๆ จากบุคคลต้นแบบ ปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อเป็นพลังสรรค์สร้าง คุณภาพชีวิตทีดี อย่างยั่งยืน

  • ออกอากาศทาง สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย วิทยุเพื่อการเรียนรู้และเตือนภัย ภาคกลาง AM 1467 KHz ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ
  • ออกอากาศทางช่องทาง Live Streaming ผ่าน Facebook Live "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ
  • สามารถมารับชมย้อนหลังผ่านทาง Youtube ช่อง "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ได้อีกช่องทางหนึ่ง...

เพจ & Youtube : รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน

เกี่ยวกับเรา : รายการ "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" เราคือใคร?

ป.ล. หากบทความนี้มีประโยชน์ ฝากช่วยกันแชร์ บทความนี้ส่งต่อๆ ออกไปสู่กลุ่มผู้คนวงกว้างให้ได้รับคุณประโยชน์... แบ่งปันความรู้ดีๆ กันนะครับ หนึ่งความรู้ หนึ่งความคิดดีๆ อาจจะเปลี่ยน ช่วยเหลือ ผู้คน และสังคมได้นะครับ และที่สำคัญสิ่งเล็กๆ ที่ท่านทำในวันนี้สามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดียิ่งขึ้นได้ ขอขอบคุณทุกท่านจากหัวใจ ไว้ ณ โอกาสนี้นะครับ... แล้วกลับมาพบกันใหม่ในบทความต่อๆไปนะครับผม ^_^

พลังธรรมาภิบาล จากชุมชนสู่อนาคตชาติ | คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน EP.108

 

จากสมรภูมิสู่สังคม ถอดรหัสเส้นทางชีวิตและการขับเคลื่อน
“ธรรมาภิบาล” ของ พลเอก ดร. กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ

 

จุดเริ่มต้นของภารกิจที่ยิ่งใหญ่กว่า

เรื่องราวของนายทหารผู้หนึ่งที่อุทิศชีวิตกว่า 30 ปีในสนามรบ รับใช้ชาติในสมรภูมิที่ร้อนระอุที่สุดแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย ตั้งแต่การต่อสู้กับภัยคอมมิวนิสต์ไปจนถึงภารกิจในต่างแดน ชีวิตของท่านคือบทพิสูจน์ของความมุ่งมั่นและความเสียสละ แต่แล้วบนเส้นทางที่ดูเหมือนจะมุ่งสู่จุดสูงสุดในสายอาชีพทหาร ท่านกลับได้พบกับภารกิจที่สำคัญยิ่งกว่าในสนามรบของภาคประชาสังคม นั่นคือการต่อสู้กับ "การทุจริต" และอุทิศตนเพื่อสร้างหลัก "ธรรมาภิบาล" ให้เกิดขึ้นจริงในสังคมไทย

บทความนี้ผมจะพาท่านไปสำรวจเส้นทางชีวิต ประสบการณ์ และบทเรียนที่หล่อหลอม ท่าน พลเอก ดร. กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ จากนายทหารช่างผู้กรำศึก สู่การเป็นเลขาธิการเครือข่ายธรรมาภิบาลแห่งชาติ ผู้ขับเคลื่อนหลักการที่เชื่อว่าเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศ

 

1. เบ้าหลอมแห่งสมรภูมิ 30 ปีในชีวิตราชการทหาร

พลเอก ดร. กิตติศักดิ์ เริ่มต้นชีวิตราชการจากการสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) รุ่นที่ 18 ซึ่งเป็นรุ่นที่ต้องสำเร็จการศึกษาก่อนกำหนดในปี พ.ศ. 2512 เนื่องจากสถานการณ์สงครามในประเทศอยู่ในภาวะวิกฤต ท่านถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจในพื้นที่สู้รบที่เต็มไปด้วยความท้าทายและความรุนแรงแทบจะในทันที

สมรภูมิต่างๆ ในช่วงต้นของชีวิตราชการได้กลายเป็นเบ้าหลอมสำคัญที่หล่อหลอมความทรหดอดทนและสภาวะผู้นำเชิงปฏิบัติของท่านให้แข็งแกร่งขึ้น

เชียงราย : เข้าต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) ในพื้นที่ ดอยยาว ดอยผาหม่น

เวียดนาม : ปฏิบัติภารกิจในนามกองกำลังทหารไทยในสงครามเวียดนาม

นครศรีธรรมราช : เป็นผู้รับผิดชอบโครงการสร้าง "หมู่บ้านสวนเรา" ซึ่งเป็นหมู่บ้านสำหรับชาวบ้านกลุ่มแรกของไทยที่ลุกขึ้นจับปืนต่อสู้กับ ผกค.

ปัตตานี และ เบตง : ในฐานะทหารช่าง ท่านได้นำหน่วยเข้าสร้างถนนในพื้นที่อันตราย และเผชิญหน้ากับขบวนการโจรจีนคอมมิวนิสต์มลายา (จคม.)

ตลอดช่วงเวลานี้ ท่านยึดมั่นในหลักการทำงานที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง คือ ความขยันหมั่นเพียรและความตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เส้นสายหรือการวิ่งเต้นใดๆ ผลงานที่เป็นที่ประจักษ์ทำให้ท่านเติบโตในหน้าที่การงานได้อย่างต่อเนื่อง หลักการทำงานของท่านสะท้อนถึงแก่นแท้ของ "หลักคุณธรรม" และ "หลักความคุ้มค่า" อย่างเป็นธรรมชาติ แม้ในเวลานั้นท่านจะยังไม่รู้จักคำว่า "ธรรมาภิบาล" ก็ตาม แต่เส้นทางแห่งเกียรติยศที่สร้างขึ้นจากผลงาน กำลังจะนำท่านไปสู่ทางแพร่งที่สั่นสะเทือนความเชื่อมั่น และบังคับให้ท่านต้องตั้งคำถามกับจิตวิญญาณของระบบที่ท่านได้อุทิศทั้งชีวิตเพื่อรับใช้

 

2. ณ ทางแพร่ง เมื่อความอยุติธรรมนำไปสู่เส้นทางใหม่

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อท่านรู้สึกว่าการเติบโตในสายอาชีพเริ่มหยุดชะงัก ไม่เป็นไปตามผลงานและความสามารถที่ควรจะเป็น ประกอบกับสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองในช่วง "พฤษภาทมิฬ" ทำให้ท่านตัดสินใจลาออกจากราชการเป็นครั้งแรก แม้ต่อมาจะกลับเข้ารับราชการอีกครั้งในตำแหน่งพลตรี และได้ริเริ่มโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมมากมาย เช่น โครงการที่เปิดโอกาสให้ทหารเกณฑ์ได้เรียนหนังสือจนจบชั้น ม.6 พร้อมกับการฝึกอาชีพ ซึ่งสะท้อนวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของท่าน

เหตุการณ์สำคัญที่ผลักดันให้ท่านเข้าสู่เส้นทางการเมืองคือการตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งในปี 2538 แต่โชคชะตากลับเล่นตลก เมื่อท่านประสบอุบัติเหตุ "ตกหลังคา" ขณะเข้าไปช่วยดับเพลิงก่อนวันเลือกตั้งเพียง 3 วัน แม้จะไม่สามารถหาเสียงได้ แต่ท่านยังคงได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนกว่า 20,000 คะแนนโดยไม่ต้องซื้อเสียงแม้แต่บาทเดียว เหตุการณ์นี้สร้างความรู้สึก "เป็นหนี้บุญคุณประชาชน" ที่ฝังลึกในใจท่านมาจนถึงทุกวันนี้

ทว่า การตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคการเมืองที่เป็นปฏิปักษ์กับผู้มีอำนาจในขณะนั้น ได้นำมาซึ่งความรู้สึกเจ็บปวดจากการถูกกลั่นแกล้งทางการเมืองอย่างเป็นระบบ ซึ่งท่านต้องเผชิญกับความอยุติธรรมที่มาจากระบบที่ท่านเคยรับใช้มาทั้งชีวิต

ถูกระงับการเลื่อนยศเป็นพลโทอย่างไม่เป็นธรรม และถูกย้ายไปประจำการโดยไม่มีหน้าที่รับผิดชอบที่ชัดเจน

ถูกตัดสิทธิ์การศึกษา โดยชื่อของท่านถูกถอดออกจากการเข้าศึกษาในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) ในนาทีสุดท้าย และมีคนอื่นเข้ามาแทนที่

พลเอก ดร. กิตติศักดิ์ สรุปประสบการณ์อันขมขื่นนี้ด้วยคำสั้นๆ ว่า นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการ "ไม่มีธรรมาภิบาล" ที่ท่านประสบมาด้วยตนเอง และประสบการณ์ความอยุติธรรมส่วนตัวนี้เองที่ได้กลายเป็นแรงผลักดันมหาศาลให้ท่านเริ่มต้นแสวงหาคำตอบและเครื่องมือที่จะมาแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศ

 

3. การค้นพบ "ธรรมาภิบาล" จากงานวิจัยสู่ภารกิจตลอดชีวิต

หลังจากลาออกจากราชการก่อนเกษียณ 7 ปี ท่านได้เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก และได้ทำวิจัยในหัวข้อ "การทุจริตในวงราชการ" ผลการวิจัยที่ได้จากการสัมภาษณ์บุคคลสำคัญของประเทศได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่า ทางออกของปัญหานี้คือ "จะต้องมีองค์กรธรรมาภิบาล"

ท่านยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ในตอนแรกนั้น ท่านเองก็ไม่เคยรู้จักความหมายของคำว่า "ธรรมาภิบาล" มาก่อนเลย จึงต้องเริ่มต้นศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง จนได้พบที่มาของคำศัพท์ที่ทรงพลังนี้ในบริบทของประเทศไทย

1. มีรากศัพท์มาจากคำว่า "Good Governance" ของธนาคารโลก (World Bank)

2. ประเทศไทยเริ่มนำแนวคิดนี้มาปรับใช้อย่างจริงจังหลังเกิด วิกฤตเศรษฐกิจ "ต้มยำกุ้ง" ในปี 2540

3. มีการบัญญัติศัพท์คำว่า "ธรรมาภิบาล" อย่างเป็นทางการโดยคณะสัมมนาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ในปี 2541 โดยเป็นการรวมคำว่า "ธรรมะ + อภิ + บาล" ซึ่งหมายถึง การดูแลรักษาไว้ซึ่งคุณความดีอันยิ่งใหญ่

การค้นพบครั้งนี้ได้เปิดประตูให้ท่านเข้าสู่โลกของ "ธรรมาภิบาล" และนำไปสู่การตีความเพื่อทำความเข้าใจในแก่นแท้ของหลักการดังกล่าว อันเป็นภารกิจสำคัญตลอดชีวิตของท่านในเวลาต่อมา

 

4. ถอดรหัสหลัก 6 ประการ ธรรมาภิบาลในภาคปฏิบัติ

พลเอก ดร. กิตติศักดิ์ และภาคีเครือข่ายธรรมาภิบาลแห่งชาติ ได้นำหลักธรรมาภิบาล 6 ประการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2542 มาปรับปรุงลำดับความสำคัญใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมไทยที่ท่านมองว่ามีปัญหาในกระบวนการยุติธรรม


นอกจากนี้ ท่านยังได้สังเคราะห์แนวคิด "ธรรมาภิบาล" ให้เชื่อมโยงกับหลักปรัชญาและคำสอนที่คนไทยคุ้นเคย เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจและนำไปปฏิบัติจริง

สูตรสำเร็จ 2-3-4 (หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง): เน้นย้ำแนวคิด "คุณธรรมนำความรู้" (2 เงื่อนไข) และการประยุกต์ใช้ 3 ห่วง (พอประมาณ, มีเหตุผล, มีภูมิคุ้มกัน) ในการแก้ปัญหาทุกมิติของชีวิต

สูตรสำเร็จ 4-5-6 (หลักธรรมาภิบาล): คือการนำ คุณธรรม 4 ประการ ของในหลวงรัชกาลที่ 9, ศีล 5 และ หลักธรรมาภิบาล 6 ประการ มาเป็นกรอบในการดำเนินชีวิตและการทำงาน

หลักการเหล่านี้ไม่ใช่เพียงทฤษฎีบนหน้ากระดาษ แต่คือสิ่งที่ท่านได้ยึดถือปฏิบัติมาโดยตลอดชีวิตราชการ ดังที่จะได้เห็นจากตัวอย่างรูปธรรมต่อไปนี้

 

5. บทพิสูจน์เชิงประจักษ์ เมื่อ "ธรรมาภิบาล" อยู่ในสายเลือด

พลเอก ดร. กิตติศักดิ์ ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าท่านได้ใช้หลักธรรมาภิบาลในการทำงานมาโดยตลอด แม้ในขณะนั้นจะยังไม่รู้จักคำศัพท์นี้อย่างเป็นทางการก็ตาม ผ่านเรื่องเล่าจากประสบการณ์ตรงของท่าน

กรณีที่ 1 : การปฏิเสธผลประโยชน์ส่วนตน

ในสมัยที่ท่านเป็นผู้บังคับหน่วยทหารช่าง มีบริษัทเหมืองแร่มาติดต่อขอเช่าเครื่องจักรกลหนักของหน่วย โดยเสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้ท่านเป็นเงินส่วนตัว แต่ท่านปฏิเสธอย่างหนักแน่น และได้ชี้แจงกับผู้ใต้บังคับบัญชาว่า "เครื่องมือเครื่องจักรเหล่านี้เป็นของราชการ ซึ่งมาจากภาษีของประชาชน เรามีหน้าที่ต้องรักษาไว้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน"

กรณีที่ 2 : ความโปร่งใสในการบริหารจัดการ

ในการจัดซื้อจัดจ้าง เป็นธรรมเนียมที่นักธุรกิจจะมอบเงิน "ค่าคอมมิชชั่น" ให้กับหน่วยงาน ท่านไม่ได้เก็บไว้เอง แต่นำเงินทั้งหมดเข้าเป็น "กองกลาง" ของหน่วย และจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาบริหารจัดการอย่างโปร่งใส เพื่อใช้ดูแลสวัสดิการของผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนอย่างทั่วถึงและสามารถตรวจสอบได้

เรื่องเล่าทั้งสองกรณีคือบทพิสูจน์เชิงประจักษ์ของการยึดมั่นใน หลักคุณธรรม และ หลักความรับผิดชอบ ต่อทรัพย์สินของส่วนรวม ควบคู่ไปกับการใช้ หลักความโปร่งใส และ หลักการมีส่วนร่วม ในการบริหารจัดการ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้หล่อหลอมวิสัยทัศน์ที่ท่านมีต่ออนาคตของประเทศไทย

 


อนาคตประเทศไทยที่สร้างได้ด้วยธรรมาภิบาล

พลเอก ดร. กิตติศักดิ์ มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนว่า การจะเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้นได้นั้น ต้องเริ่มต้นจาก "ตัวเราเอง" และขยายผลไปสู่ "ชุมชน" ซึ่งก็คือหลักการ "ระเบิดจากข้างใน" ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานไว้นั่นเอง

ท่านมองเห็นภาพอนาคตของประเทศไทยที่สดใส หากคนไทยและสังคมไทยยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลอย่างแท้จริง ซึ่งจะนำไปสู่:

สังคมที่น่าอยู่และไว้วางใจกัน

การเมืองที่โปร่งใสและเป็นธรรม

เศรษฐกิจที่เติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน

การศึกษาที่สร้างคนดีและคนเก่งควบคู่กัน

เรื่องราวทั้งหมดนี้ตอกย้ำคำกล่าวของท่านพุทธทาสภิกขุที่ว่า "ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ" และ พลเอก ดร. กิตติศักดิ์ เชื่อมั่นว่า "ธรรมาภิบาล" คือพิมพ์เขียวเชิงปฏิบัติ ที่จะแปรเปลี่ยนศีลธรรมจากนามธรรมให้กลายเป็นรากฐานที่มั่นคงของชาติอีกครั้ง เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศชาติต่อไป

ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย AM 1467 KHz
วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 – 19.00 น.


เรียบเรียง/บทความโดย ครูพี่ลี ดลรวี ภัทรกุลพิมล
โปรดิวเซอร์ รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน

คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน รายการที่จะนำคุณไปสัมผัสกับ อัตลักษณ์ท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย เศรษฐกิจพอเพียง และแนวคิดดีๆ จากบุคคลต้นแบบ ปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อเป็นพลังสรรค์สร้าง คุณภาพชีวิตทีดี อย่างยั่งยืน

  • ออกอากาศทาง สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย วิทยุเพื่อการเรียนรู้และเตือนภัย ภาคกลาง AM 1467 KHz ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ
  • ออกอากาศทางช่องทาง Live Streaming ผ่าน Facebook Live "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ
  • สามารถมารับชมย้อนหลังผ่านทาง Youtube ช่อง "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ได้อีกช่องทางหนึ่ง...

เพจ & Youtube : รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน

เกี่ยวกับเรา : รายการ "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" เราคือใคร?

ป.ล. หากบทความนี้มีประโยชน์ ฝากช่วยกันแชร์ บทความนี้ส่งต่อๆ ออกไปสู่กลุ่มผู้คนวงกว้างให้ได้รับคุณประโยชน์... แบ่งปันความรู้ดีๆ กันนะครับ หนึ่งความรู้ หนึ่งความคิดดีๆ อาจจะเปลี่ยน ช่วยเหลือ ผู้คน และสังคมได้นะครับ และที่สำคัญสิ่งเล็กๆ ที่ท่านทำในวันนี้สามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดียิ่งขึ้นได้ ขอขอบคุณทุกท่านจากหัวใจ ไว้ ณ โอกาสนี้นะครับ... แล้วกลับมาพบกันใหม่ในบทความต่อๆไปนะครับผม ^_^

บทความที่ได้รับความนิยม