แก่นแท้ธรรมาภิบาล เข้าใจ 6 หลักการสำคัญผ่านประสบการณ์จริง
ธรรมาภิบาล เรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิด
คำกล่าวของท่านพุทธทาสภิกขุที่ว่า "ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ" ยังคงก้องกังวานและสะท้อนความจริงของสังคมเสมอมา เพราะเมื่อใดที่ศีลธรรมเสื่อมถอย สังคมก็ย่อมไร้ซึ่งความสงบสุข ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายนี้ มีคำหนึ่งที่เราได้ยินบ่อยครั้ง นั่นคือ "ธรรมาภิบาล" ซึ่งหลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่แท้จริงแล้ว นี่คือหัวใจสำคัญของการพัฒนาตั้งแต่ระดับชุมชนไปจนถึงระดับชาติ
บทความนี้จะถอดบทเรียนและประสบการณ์อันยาวนานกว่า 50 ปี ทั้งในราชการทหารและภาคประชาสังคมของ พลเอก ดร. กิตติศักดิ์ รัตน์ประเสริฐ เลขาธิการเครือข่ายธรรมาภิบาลแห่งชาติ และนายกสมาคมภาคีเครือข่ายธรรมาภิบาล เพื่อทำให้หลักการที่ดูเป็นนามธรรมนี้กลายเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายและจับต้องได้ผ่านเรื่องราวจากภาคสนาม มากกว่าภาพรวมทางทฤษฎี บทความนี้คือบทเรียนที่หลอมรวมจากประสบการณ์ตรงของชายผู้เลือกเดินออกจากเส้นทางราชการทหารอันรุ่งโรจน์ หลังจากได้เผชิญหน้ากับผลลัพธ์ของระบบที่หลักนิติธรรมสั่นคลอนด้วยตนเอง
ก่อนจะไปสำรวจหลักการทั้ง 6 ประการ เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า 'ธรรมาภิบาล' ที่เราได้ยินกันบ่อยครั้งนั้น แท้จริงแล้วคืออะไรและมีที่มาอย่างไร
1. ธรรมาภิบาลคืออะไร? ถอดรหัสความหมายและที่มา
คำว่า "ธรรมาภิบาล" มีที่มาจากคำภาษาอังกฤษว่า "Good Governance" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ธนาคารโลก (World Bank) นำมาใช้เพื่อช่วยเหลือประเทศต่างๆ ที่ประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ สำหรับประเทศไทย แนวคิดนี้เริ่มถูกนำมาใช้อย่างจริงจังหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ "ต้มยำกุ้ง" ในปี พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้สังคมต้องหันกลับมาทบทวนเรื่องการบริหารจัดการบ้านเมืองอย่างจริงจัง ในการสัมมนาวิชาการประจำปี 2541 ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กลุ่มที่ 4 คือ 'ธรรมาภิบาลกับการพัฒนาที่ยั่งยืน' ซึ่งมี ม.ร.ว. จัตุมงคล โสณกุล เป็นประธานกลุ่ม เป็นผู้เคาะเลือกใช้คำว่า 'ธรรมาภิบาล' เป็นคำแปลของ 'Good Governance' อย่างเป็นทางการ
"ธรรมะ + อภิ + บาล"
เพื่อให้เข้าใจความหมายเชิงลึก พล.อ. ดร. กิตติศักดิ์ ได้ถอดความหมายของคำว่า "ธรรมาภิบาล" ออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
• ธรรมะ หมายถึง ความดี คุณงามความดี
• อภิ หมายถึง ยิ่งใหญ่
• บาล หมายถึง ทะนุบำรุงรักษา
เมื่อรวมกันแล้ว "ธรรมาภิบาล" จึงมีความหมายถึง การทะนุบำรุงรักษาคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่ไว้ ซึ่งสรุปเป็นความหมายในภาพรวมได้ว่าคือ "หลักการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี" นั่นเอง
เมื่อเข้าใจที่มาและความหมายแล้ว หัวใจสำคัญของธรรมาภิบาลก็คือหลักการ 6 ประการที่เป็นเหมือนเสาหลักค้ำจุนสังคมที่ดีงาม
2. 6 เสาหลักแห่งธรรมาภิบาล : บทเรียนจากภาคสนาม
ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2542 ได้กำหนดหลักธรรมาภิบาลไว้ 6 ประการ แต่ในทางปฏิบัติ เครือข่ายธรรมาภิบาลแห่งชาติได้เสนอให้นำ "หลักคุณธรรม" ขึ้นมาเป็นอันดับแรกสุด ด้วยเหตุผลที่ว่า ระบบนิติธรรมของประเทศล้มเหลว คนรวยและผู้มีอำนาจมักไม่ติดคุก ดังนั้น หากผู้ปฏิบัติงานขาดคุณธรรมเป็นที่ตั้ง หลักนิติธรรมเพียงอย่างเดียวก็ไม่อาจสร้างความเป็นธรรมที่แท้จริงได้ ประสบการณ์ของ พล.อ. ดร. กิตติศักดิ์ สะท้อนให้เห็นภาพของแต่ละหลักการได้อย่างชัดเจน
1. หลักคุณธรรม (Morality)
• คำจำกัดความ : การยึดมั่นในความถูกต้องดีงาม มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความเสียสละ
• ตัวอย่างจากประสบการณ์จริง : สมัยที่ท่านเป็นผู้บังคับหน่วยทหารช่าง มีบริษัทเหมืองแร่มาติดต่อขอเช่าเครื่องจักรกลของหน่วยงาน เช่น รถตัก รถดั๊มพ์ โดยเสนอค่าเช่าให้เดือนละหลายแสนบาท แต่ท่านได้ปฏิเสธไป พร้อมให้เหตุผลกับลูกน้องว่า "เครื่องมือเครื่องจักรเหล่านี้เป็นของราชการ ซึ่งมาจากภาษีของประชาชน เรามีหน้าที่รักษาประโยชน์ของแผ่นดิน" การตัดสินใจครั้งนั้นคือภาพสะท้อนของการยึดมั่นในคุณธรรมมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตน
2. หลักนิติธรรม (Rule of Law)
• คำจำกัดความ : การปฏิบัติตามกฎหมาย กฎระเบียบ และข้อบังคับต่างๆ อย่างเป็นธรรมและเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติ
• ตัวอย่างจากประสบการณ์จริง : พล.อ. ดร. กิตติศักดิ์ เล่าถึงช่วงหนึ่งของชีวิตราชการที่ท่านควรจะได้รับการเลื่อนยศเป็นนายพล แต่กลับไม่ได้รับ และยังถูกย้ายไปประจำโดยไม่มีเหตุผลอันควร อีกทั้งยังถูกถอดชื่อออกจากการเข้าศึกษาในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) อย่างไม่เป็นธรรม เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเมื่อ หลักนิติธรรมอ่อนแอ และการใช้อำนาจไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ ซึ่งเป็นที่มาของการตัดสินใจลาออกจากราชการในเวลาต่อมา ประสบการณ์อันขมขื่นนี้เองที่กลายเป็นแรงผลักดันให้ท่านอุทิศตนในเวลาต่อมา เพื่อสร้างระบบธรรมาภิบาลที่ท่านรู้สึกว่าได้ล้มเหลวต่อตัวท่าน
3. หลักความโปร่งใส (Transparency)
• คำจำกัดความ : การเปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา สามารถตรวจสอบได้ และทุกฝ่ายเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นได้
• ตัวอย่างจากประสบการณ์จริง : ในการจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เป็นธรรมเนียมที่บริษัทเอกชนจะมอบเงินค่าคอมมิชชั่น (Commission) ให้กับหน่วยงาน แทนที่ท่านจะเก็บเงินส่วนนี้ไว้เอง ท่านได้นำเงินทั้งหมดเข้าเป็น "กองกลางของหน่วยงาน" โดยตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแล และนำเงินไปใช้เพื่อเป็นสวัสดิการ ปรุงอาหาร และดูแลกำลังพลทุกคนอย่างทั่วถึง การกระทำเช่นนี้สร้างความไว้วางใจและแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสในการบริหารจัดการอย่างแท้จริง
4. หลักการมีส่วนร่วม (Participation)
• คำจำกัดความ : การเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามามีส่วนร่วมในการรับรู้ แสดงความคิดเห็น และร่วมตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญ
• ตัวอย่างจากประสบการณ์จริง : แนวทางการทำงานของท่านคือการให้ลูกน้อง "ร่วมคิดร่วมทำด้วยกัน" เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนสร้างถนนหรือการบริหารจัดการหน่วย ท่านเชื่อว่าการให้ทุกคนได้มีส่วนร่วม จะทำให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของและทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้งานสำเร็จลุล่วงได้อย่างรวดเร็ว
5. หลักความรับผิดชอบ (Accountability)
• คำจำกัดความ : ความตระหนักในหน้าที่และความสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกเป็น 'หนี้บุญคุณประชาชน' ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้ต้องทำงานรับใช้ส่วนรวมอย่างเต็มกำลัง
• ตัวอย่างจากประสบการณ์จริง : ท่านมีความรู้สึกเป็น "หนี้บุญคุณประชาชน" ถึงสองครั้งใหญ่ในชีวิต ครั้งแรกคือการที่ประชาชนเสียภาษีส่งเสียให้ท่านได้เรียนโรงเรียนนายร้อย จปร. โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ และครั้งที่สองคือเมื่อท่านลงสมัครรับเลือกตั้งและได้รับคะแนนเสียงกว่า 20,000 คะแนนโดยไม่ได้ซื้อเสียงแม้แต่บาทเดียว ความรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณนี้เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ท่านตั้งใจทำงานรับใช้ชาติอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพราะตระหนักดีว่าต้องรับผิดชอบต่อความไว้วางใจที่ประชาชนมอบให้
6. หลักความคุ้มค่า (Value for Money)
• คำจำกัดความ : การบริหารจัดการและใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ส่วนรวม
• ตัวอย่างจากประสบการณ์จริง : ผลลัพธ์จากการยึดมั่นในหลักการ 5 ข้อข้างต้น คือประสิทธิภาพที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การสร้างถนนในพื้นที่ทุรกันดารระยะทาง 10 กิโลเมตร สำเร็จภายในเวลาเพียง 3 เดือน ขณะที่หน่วยงานอื่นอาจใช้เวลาเป็นปี นี่คือบทพิสูจน์ว่าเมื่อมีคุณธรรม โปร่งใส และทุกคนมีส่วนร่วม ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
จะเห็นได้ว่าหลักการทั้ง 6 ข้อนี้มีความแตกต่างจากการบริหารจัดการทั่วไปที่มุ่งเน้นเพียงผลกำไรหรือประสิทธิภาพสูงสุดเพียงอย่างเดียว
3. ธรรมาภิบาล แตกต่างจากการบริหารทั่วไปอย่างไร?
พล.อ. ดร. กิตติศักดิ์ เน้นย้ำว่า การบริหารทั่วไปมักมุ่งเน้นที่เป้าหมายขององค์กรเป็นหลัก เช่น การเพิ่มยอดขาย การลดต้นทุน หรือการทำโครงการให้เสร็จตามแผน แต่ธรรมาภิบาลจะครอบคลุมมิติที่กว้างและลึกซึ้งกว่านั้น โดยให้ความสำคัญกับ "ความชอบธรรม" และ "ความน่าเชื่อถือ" ควบคู่ไปกับประสิทธิภาพ
เราสามารถเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจนได้ดังตารางต่อไปนี้
เมื่อเห็นความแตกต่างแล้ว คำถามสำคัญต่อมาคือ เราในฐานะคนธรรมดาจะเริ่มต้นสร้างธรรมาภิบาลให้เกิดขึ้นจริงได้อย่างไร
4. เริ่มต้นที่ตัวเรา : สูตรสำเร็จสู่การปฏิบัติจริง
หัวใจสำคัญที่ พล.อ. ดร. กิตติศักดิ์ ย้ำอยู่เสมอคือ ธรรมาภิบาลต้อง "เริ่มจากตัวเราเอง" และ "ระเบิดจากข้างใน" โดยเริ่มต้นจากหน่วยที่เล็กที่สุดในสังคมคือครอบครัวและชุมชน ไม่ใช่การรอคอยคำสั่งจากเบื้องบน
วัคซีนป้องกันการทุจริต : คุณธรรม 4 ประการ
ท่านได้น้อมนำพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 เรื่อง "คุณธรรม 4 ประการ" มาเป็นเหมือนวัคซีนป้องกันการทุจริต ซึ่งทุกคนสามารถสร้างขึ้นได้ในใจตนเอง
1. การรักษาความสัตย์ : มีความจริงใจต่อตนเองที่จะประพฤติปฏิบัติแต่ในสิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม (สัจจะ)
2. การรู้จักข่มใจตนเอง : ฝึกฝนใจให้ตั้งมั่นอยู่ในความสัตย์และความดีงามนั้น (ทมะ)
3. การอดทน อดกลั้น และอดออม : ไม่ประพฤติล่วงความสุจริต ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม (ขันติ)
4. การรู้จักละวางความชั่ว : รู้จักเสียสละประโยชน์ส่วนน้อยของตน เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของบ้านเมือง (จาคะ)
สูตรสำเร็จที่นำไปใช้ได้จริง
เพื่อให้หลักการที่ดูซับซ้อนเหล่านี้ง่ายต่อการจดจำและนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ท่านได้สรุปเป็น 'สูตรสำเร็จ' ที่เชื่อมโยงศาสตร์พระราชากับหลักธรรมาภิบาลเข้าไว้ด้วยกันอย่างเป็นระบบ
• สูตร 2-3-4 (ศาสตร์พระราชา):
◦ 2 เงื่อนไข: ความรู้คู่คุณธรรม
◦ 3 ห่วง: พอประมาณ, มีเหตุผล, มีภูมิคุ้มกัน (โดยท่านเน้นว่าในการปฏิบัติจริง ควรเริ่มจากการสร้าง 'ภูมิคุ้มกัน' ให้ตนเองก่อน แล้วจึงพิจารณาด้วย 'เหตุผล' เพื่อเลือกทางสายกลางที่ 'พอประมาณ')
◦ 4 มิติ: การพัฒนาที่สมดุลทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม
• สูตร 4-5-6 (หลักธรรมาภิบาล):
◦ คุณธรรม 4 ประการ (ดังที่กล่าวไปข้างต้น)
◦ ศีล 5 (เป็นพื้นฐานการดำเนินชีวิต)
◦ หลักธรรมาภิบาล 6 ประการ
การเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ ที่ตัวเราและชุมชนนี่เอง คือรากฐานสำคัญที่จะนำไปสู่ภาพอนาคตของประเทศที่ทุกคนใฝ่ฝัน
บทสรุป : อนาคตประเทศไทย เมื่อธรรมาภิบาลเบ่งบาน
หากประเทศไทยสามารถปลูกฝังธรรมาภิบาลให้หยั่งรากลึกในทุกระดับของสังคมได้อย่างแท้จริง ภาพอนาคตของประเทศจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน สังคมจะน่าอยู่และเต็มไปด้วยความไว้วางใจ การเมืองจะโปร่งใสเป็นธรรม และเศรษฐกิจจะเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน
พล.อ. ดร. กิตติศักดิ์ ได้เปรียบเทียบหลักธรรมาภิบาลว่าเปรียบเสมือน "เพชรแห่งสยาม" ที่ต้องเจียระไนให้ครบทั้ง 6 เหลี่ยม (6 หลักการ) จึงจะส่องประกายงดงามและมีคุณค่าสูงสุด หากขาดเหลี่ยมใดเหลี่ยมหนึ่งไป ความสมบูรณ์ก็ย่อมไม่เกิดขึ้น
ธรรมาภิบาลไม่ใช่ภารกิจของใครคนใดคนหนึ่ง
แต่คือหน้าที่ของพวกเราทุกคน ทุกการกระทำที่ยึดมั่นในความดี ความโปร่งใส
และความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทใด คือการร่วมกันเจียระไน 'เพชรแห่งสยาม' ให้ส่องประกายเจิดจรัส พลังในการสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับสังคมไทยเริ่มต้นที่ตัวเรา, และต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้นะครับผม...
เรียบเรียง/บทความโดย ครูพี่ลี ดลรวี ภัทรกุลพิมล
โปรดิวเซอร์ รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน
คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน
รายการที่จะนำคุณไปสัมผัสกับ อัตลักษณ์ท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย
เศรษฐกิจพอเพียง และแนวคิดดีๆ จากบุคคลต้นแบบ ปราชญ์ชาวบ้าน
เพื่อเป็นพลังสรรค์สร้าง คุณภาพชีวิตทีดี อย่างยั่งยืน
- ออกอากาศทาง สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย วิทยุเพื่อการเรียนรู้และเตือนภัย ภาคกลาง AM 1467 KHz ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ
- ออกอากาศทางช่องทาง Live Streaming ผ่าน Facebook Live "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ทุก วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. - 19.00 น. และ
- สามารถมารับชมย้อนหลังผ่านทาง Youtube ช่อง "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" ได้อีกช่องทางหนึ่ง...
เพจ & Youtube : รายการคุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน
เกี่ยวกับเรา : รายการ "คุณภาพชีวิตดีที่บ้านฉัน" เราคือใคร?